วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/27



พระอาจารย์
13/27 (570403A)
3 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  ภาวนาหากายให้เจอ กายนี่ ถูกปิดบัง กิเลสมันปิดบัง ...ถ้าได้เจอกายนี่ กายที่เป็นกายที่แท้จริง จะไม่เจออะไรหรอก จะไม่เจอขันธ์อื่นด้วย จะไม่เจอความเป็นจริงภายนอกด้วย

ถึงจะเจอธรรมไหนก็ตาม แต่การภาวนาที่ไม่เห็นกายตามความเป็นจริงก่อนแล้ว ...ธรรมที่เห็น ธรรมที่ได้ ธรรมที่รู้นี่ ผลการภาวนาทั้งหมด มันก็ใต้ร่มเงาของคำว่า “เรา” หมด

จะได้ดี ได้เก่ง ได้วิเศษ มีความรู้พิเศษมากมายขนาดไหน หรือเป็นธรรมละเอียดลออขนาดไหน ...ก็อยู่ใต้ร่มเงาของคำว่า “เรา” อยู่ดี  มันมีการเข้าไปถือครอง ครอบครองธรรมนั้นๆ ...ให้ค่าดีบ้าง ให้ค่าร้ายบ้าง

นี่ กิเลสความยึดมั่นถือมั่น ความยึดตัวถือตัวน่ะ ยึดกายเป็นเรา ยึดขันธ์เป็นเรา มันเป็นตัวใหญ่ที่มันบังธรรม มันบังความเป็นจริงในธรรมทั้งหลายทั้งปวง บังธรรมชาติในสามโลกธาตุ

เหมือนเราเกิดมา แล้วก็อยู่ในหุบเขา น่ะ มีภูเขาสูงเสียดฟ้าล้อมรอบทุกด้านทุกมุม จนความสว่างจากแสงพระอาทิตย์พระจันทร์สาดส่องลงมาไม่ถึงเลย

เพราะมันอยู่ในหุบเขานั่นเอง เกิดมาทุกคน...อยู่ในความมืดมิด เงามืดของขุนเขาบังหูบังตา บังความเป็นจริงภายนอกภายในหมด แม้แต่ภายในก็บัง ภายนอกก็บัง

ผู้ภาวนาที่ไม่เข้าใจหลักของมรรค หลักของศีลสมาธิปัญญา ก็พยายามจะปีนป่ายตะเกียกตะกายขึ้นไปสูงๆ บนยอดเขาบ้าง เนินเขาเตี้ยๆ อะไรบ้าง ขึ้นไปดูวิว ชมวิว ชมนกชมไม้อยู่ข้างบน 

มันก็อากาศดี สบาย ฟ้าใส ปลอดโปร่ง ...แต่สุดท้ายก็อยู่ตรงนั้นไม่ได้ ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านเจ้าของตัวเอง ...ไอ้ที่เจอมามันก็แค่สภาวะที่เข้าไปรู้เข้าไปเห็น..ชั่วครั้งชั่วคราวไป

แต่ความเป็นจริงก็ยังมีบ้านมีช่อง มีหลักมีแหล่งอยู่ในหุบเขามืดมิด ...ถึงจะขึ้นไปสู่จุดสูง แล้วก็เดินขึ้นไปเดินลงมา มันก็อยู่ในหุบเขาอยู่ดี ...การเกิดการตาย นี่ เหมือนกัน

ถึงมันจะไปตายบนยอดเขานั้น ก็มาเกิดอยู่ในหุบเขาอยู่ดี หนีไม่พ้นเงาของภูเขาแวดล้อม คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวเราของเรานั่นเอง  ขันธ์เป็นเรา เราเป็นขันธ์ กายเป็นเรา เราเป็นกาย...มันบัง

เพราะนั้นเวลาภาวนา ที่หาว่า...บอกกันว่าไปถึงไหนแล้ว ไปไหนกัน...ก็คือปีนป่ายขึ้นไป สุดท้ายก็ร่วงไถลตกลงมาเหมือนเดิม ได้บ้างเสื่อมบ้าง ได้ๆ เสื่อมๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ

ก็เพราะว่ามันไม่เข้าใจ จะไปเอาสภาวธรรมสูงสุด นั่น ก็เปรียบเสมือนไปยืนอยู่บนยอดเขา ก็แค่นั้น ...ก็ยังลบเงาไม่ได้ มันก็ยังอยู่ใต้ร่มเงาของ “เรา” ตลอดเวลา

แต่เมื่อใดที่มันมีความชัดเจนในมรรคในศีลสมาธิปัญญา  แล้วก็ใช้วิธีการ หลักการของศีลสมาธิปัญญาที่ตรง ...แม้จะอยู่ท่ามกลางหุบเขาก็ไม่ปีนป่ายไปค้นคว้า ไปหาสภาวะใดสภาวะหนึ่งที่มันนอกเหนือจากนี้ไป

ตัวภาวนาในองค์มรรคนี่ ก็คือตัวที่มันเข้าไปทำลายหุบเขาแวดล้อม ให้มันทะลายไป ...คือไม่ได้ไปไหน อยู่ในที่เก่านั่นแหละ ที่เดิม ...แล้วก็อาศัยสติ ศีล เพียรเพ่ง เจาะลงไป

เจาะลงไปที่กายนั่นแหละ จนมันเห็นความเป็นจริงของกาย เป็นขณะ เป็นครั้งคราวไป เป็นหย่อมไป เป็นชั่วครู่ชั่วยาม ...แล้วก็ด้วยความพากเพียร ก็จะเป็นด้วยความต่อเนื่องไป

มันจะเข้าไปทำลายรากฐานของความเป็นเรา ว่ากายนี้เป็นเรา กายนี้เป็นของเราไปทีละเล็กทีละน้อย ให้มันจางคลายลงไป เปรียบเสมือนมันเข้าไปเจาะทำลายภูเขาที่มันบัง

แสงสว่างปัญญาญาณที่มันออกมาจากใจ ...แสงสว่างไม่ใช่สว่างภายนอก ไม่ใช่ความสว่างจากแก้วแหวนเงินทองเพชร หรือผู้ใดผู้หนึ่ง มันเป็นแสงสว่างภายในใจตัวเจ้าของนั่นแหละ

มันก็สามารถสาดส่องออกมาได้ เพราะว่าเงาของสักกายหรือว่าภูเขาที่ว่าเป็นเราตัวเราของเรา มันถูกเสาะ มันถูกกร่อนลงไป ...สิ่งที่มันครอบงำปิดบังใจ มันก็ทะลาย จางคลายไป 

ความสว่างของใจก็สาดส่องออกมา มันก็เกิดความรู้ชัดเห็นชัดในความเป็นจริงของกายมากขึ้นไป...พร้อมกับยอมรับกายตามสภาพความเป็นจริงนั้น 

ที่มันไม่ใช่กายตามสมมุติ ไม่ใช่กายตามบัญญัติ ไม่ใช่กายที่เคยเห็น เคยเชื่อ เคยเข้าใจมาแต่เก่าก่อน ...นี่ มันก็เข้าใจกายตามสภาพความเป็นจริงของมัน

ที่เป็นเพียงแค่สักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าอาการ สักแต่ว่าสิ่งหนึ่ง สักแต่ว่าเป็นของอย่างหนึ่ง เป็นอะไรอย่างหนึ่ง เป็นก้อนอย่างหนึ่ง เป็นการประชมรวมตัวกันขณะหนึ่ง

มันก็ชัดเจนในสภาพที่เป็นแค่สิ่งหนึ่ง ...ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่มีชื่อ ไม่มีเสียง ไม่มีเพศ ไม่มีสถานะ ไม่มีวรรณะ ไม่มีสัณฐาน ไม่มีรูปร่างไม่มีรูปทรงที่แน่นอนชัดเจน

มันเปลี่ยนแปลงไปมาอยู่ตลอดเวลา เกิดตรงไหน ตั้งอยู่ตรงไหน...แล้วมันก็ดับอยู่ตรงนั้น ไม่มีสิ่งตกค้าง เป็นอดีต เป็นสัญญา ไม่มีตกค้างไปเป็นอนาคต

มันก็ดับไป...ไม่มีตัวตนค้างคาอยู่ในอดีตอนาคต ...มันเป็นตัวตนที่ว่างเปล่าทุกการเกิดทุกการดับ เป็นอนัตตา  …มันมีเราอยู่ตรงไหน มันเป็นเราของเราได้อย่างไร

นี่ มันก็เกิดความลึกซึ้ง เข้าใจ ยอมรับ ...นี่คือภูเขาที่มันปิดบังสูงใหญ่ มันก็ค่อยๆ ถูกเซาะกร่อนทะลายไป ...แสงอาทิตย์ก็สาดส่องเข้ามา มันก็สว่างไปทั่ว

แต่ก่อนมันเคยภาวนากันแบบว่า...ต้องขึ้นไปอยู่บนที่สูง แล้วมันก็มองเห็นอะไรได้ชัดเจน มองอะไรได้กว้างได้รอบ  แต่ว่ามันก็ต้องปีนป่ายขึ้นไปถึงที่สูง ถึงจะเห็น

แต่ถ้ามันทำลายภูเขาที่ปิดบังที่อยู่ที่อาศัยของมันนี่แล้ว ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปปีนป่ายอะไรที่ไหน เพราะมันไม่มีที่สูงอะไรแล้ว ...มันก็มองเห็นได้ทั่วโดยตลอด

เพราะมันราบเรียบไปหมด มันไม่มีอะไรเป็นปุ่มเป็นปม เป็นเงา ...อยู่บนพื้นดินก็มองเห็นได้รอบโลก ไม่ต้องขึ้นยอดเอเวอเรสท์ถึงจะมองเห็นรอบโลก

นี่ การทำลายสักกายทิฏฐิ การทำลายความยึดมั่นถือมั่นในกายเราตัวเรา ในขันธ์ของเรา มันก็ถูกพังไป มันเป็นเหมือนกำแพงที่มันขวางกั้นปิดบัง มันพังลง ทะลายลงไป

ด้วยอำนาจของศีลสมาธิปัญญา ...มันไม่ได้พังแค่ภูเขาที่ล้อมรอบตัวกายตัวใจนี้เท่านั้น มันพังหมดสามโลกธาตุที่มันทุกหัวระแหง ...นี่ อำนาจของศีลสมาธิปัญญา

มันก็ราบไปหมด เปรียบเสมือนมันราบเรียบเป็นหน้ากลองไปหมด..ทั้งเราทั้งเขา ...มันไม่มี มันไม่ติด มันไม่ข้อง มันไม่คา มันไม่มีอะไรไปขวางไปกั้นไปบัง

ตั้งแต่ในขันธ์ของตัวเจ้าของ แล้วก็นอกขันธ์คือขันธ์ผู้อื่น ...ก็เหมือนกันหมด มันถูกทำลายลงไปด้วยอำนาจพลานุภาพของศีลสมาธิปัญญาของผู้ปฏิบัตินั้นๆ ที่เพียรเพ่งอยู่ภายใน

เมื่อมันไม่มีอะไรมาบดบังปิดบังกายใจตามความเป็นจริงแล้วนี่ ความสว่างมันก็สาดส่องไปทั่วโลกา สามโลกธาตุ นกบินไปในอากาศ อะไรผ่านไปผ่านมา ก็เห็น

มันก็สว่างชัดเจน...ชัดเจนในส่วนที่เป็นนามขันธ์นามธรรม ในส่วนที่เป็นรูปารมณ์ อรูปารมณ์ ในส่วนที่เป็นขันธ์ละเอียดที่จับต้องไม่ได้ …นี่ ปัญญามันก็จะละเอียดขึ้น การรู้การเห็นมันก็ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไป

มันก็ชัดเจนในสิ่งที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งๆ ที่ว่ามันก็มีอยู่ในกองขันธ์ ตัวขันธ์อยู่นั่นเอง ...มันก็เห็นรายละเอียดของกิเลสที่มันเข้าไปจับในส่วนที่ขันธ์ละเอียดสุดประณีต

ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยเห็นว่ากิเลสส่วนละเอียด ส่วนประณีตนี่ มันคืออะไร มันเป็นยังไง มันจับกับขันธ์ส่วนไหน ...พอสว่างอย่างนี้ มันก็แยกแยะยิบย่อยได้หมด

แต่ถ้าตราบใดมันยังทะลายขุนเขาที่บดบังกายใจไม่ได้ ...การรู้การเห็นในธรรม ล้วนแล้วแต่เป็นการลูบๆ คลำๆ ไป ...หาความชัดเจนมั่นคง ชัดแจ้ง แจ่มแจ้งไม่ได้

เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวดับ เดี๋ยวก็มาอีก เดี๋ยวก็ยึดอีก เดี๋ยวก็ยึดมากขึ้น เดี๋ยวก็ยึดน้อยลง เดี๋ยวก็ยึดเหมือนเก่า ไม่รู้มันมายังไง ไม่รู้มันเกิดยังไง แล้วก็ต้นตอมันคืออะไร

ก็เอาล่อเอาเถิดกัน ไม่เท่าไม่ทันกันสักทีนึง ...ก็ว่าละได้แล้ว ก็ยังละไม่ได้จริง เดี๋ยวก็มา เดี๋ยวก็มามากกว่าเดิมอีก มาในรูปแบบใหม่ๆ ...ไม่รู้มันมาได้ยังไง มันมาจากไหน

เพียรภาวนาตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูง ให้ได้ธรรมสูงๆ จิตสูงๆ จิตดีๆ ขึ้นไป ...ก็เหนื่อย ผลก็ไม่ได้งอกงาม  การละการวาง การแจ่มแจ้งในขันธ์ ในกิเลส ก็ไม่แจ่มแจ้ง ก็ไม่ชัดสักตัว

ความคลี่คลายออกจากความเป็นเราก็ไม่บังเกิด ความยึดมั่นถือมั่นก็ไม่ได้ดูเหมือนลดน้อยลงถอยลงเลย  มันพร้อมที่จะยึดมั่นถือมั่น มันพร้อมที่จะถือครองตลอดเวลา

ทั้งสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ที่มันมาใหม่ๆ จากความปรุงแต่งของกิเลสของคน ของมนุษย์ ของโลก ของวัตถุ ...ก็เต็มไปด้วยความอยาก-ความไม่อยาก...ที่มันนอนเนื่องทับถมอยู่ตลอดเวลา

ภาวนาก็กลายเป็นเรื่องยากไป กลายเป็นเรื่องที่ดูเหมือนไม่ได้อรรถได้ธรรม ได้มรรคได้ผลอะไร เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นกอบเป็นกำ …พออธิบายด้วยการรู้ตัวรู้กาย มันก็ว่าเป็นของธรรมดา เป็นของพื้นๆ

พอชี้ให้รู้ ให้มองเห็น รู้สึกถึงความเป็นเรา ...ก็จะเห็นว่าความเป็นเรา ตัวเรานี่ มันเหมือนกับภูเขาใหญ่ที่มันสูงเสียดฟ้า...ไม่รู้จะลบ ไม่รู้จะทะลายมันยังไง 

แล้วความเป็นตัวเรา ของเรานี่ มันมีของมันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าขณะใดขณะหนึ่ง...ทั้งที่มีส่วนที่มากระทบจากภายนอก ทั้งที่ไม่มีส่วนกระทบภายนอก 

ความรู้สึกเป็นเรามันก็มีอยู่ภายในอยู่ตลอดเวลา มันก็ไม่หายไปไหน เหมือนกับเป็นภูเขาใหญ่เบียดบัง จนแทบจะไม่มีทางจะทะลายมันลงไปได้เลย หรือละลงไปได้เลย 

เนี่ย มันก็ไปหาวิธีการต่างๆ นานา กันไป ...มันไม่เชื่อในศีล ไม่เชื่อในการรู้อยู่เห็นอยู่กับกายปัจจุบัน การหยั่งลงไปให้ถึง เจาะลงไปให้ถึงฐานกายปัจจุบัน ปกติกาย ธรรมดากายนี่ 

กายที่มันแสดงอาการอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้แต่ในขณะนี้ มันก็ยังแสดงความเป็นจริง ความปรากฏขึ้น ด้วยความเป็นธรรมดา …ก็คอยน้อมคอยหยั่ง คอยหน่วงไว้อยู่กับฐานกายนี้

ต่อให้ “เรา” มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน หนาแน่นขนาดไหน ละได้ยากยิ่งขนาดไหน ...ก็ไม่สามารถทนทานต่ออำนาจของศีลสมาธิปัญญา..ของผู้ปฏิบัติจริง ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติด้วยความอดทนพากเพียรไปหรอก

เพราะนั้นอย่ามัวแต่ไปมะงุมมะงาหรากับธรรมเมา ธรรมมั่ว ธรรมมัว ...แล้วก็ทำไปเรื่อยเปื่อย ทำไปไม่หยุดหย่อน ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ทำอะไรไปก็ไม่รู้ อย่างนี้

สุดท้ายก็เหลวหมด ได้แต่ความท้อถอย ได้แต่ความขี้เกียจขี้คร้าน ได้แต่ความลังเลไม่แน่ใจในตัวเจ้าของ ได้แต่ความสงสัยลังเล...ในการปฏิบัติภาวนา ในศีลสมาธิปัญญา

สุดท้ายก็คืนสู่ความเป็นไปของกิเลสของเราที่มันมาเกลือกกลั้วอยู่ในโลกกับอารมณ์ แสวงหาความสุขทางโลก แสวงหาความสุขทางหู ทางตา ทางการกระทำ คำพูด ความคิดไป

มันถอยหลังจากมรรค หันหลังจากศีลสมาธิปัญญาไป ...สุดท้ายหมดอายุขัยก็ตายไป แล้วก็เกิดใหม่ มาทนทุกข์ มาหนีทุกข์แสวงหาสุขกันใหม่...ซ้ำเดิม ซ้ำเก่า ซ้ำไปเวียนมา อยู่ในความมืดของขุนเขา ที่มันปกคลุมปิดบังทุกภพชาติ

ถ้าตั้งกายตั้งใจของตัวเองไว้เสมอ ไม่ให้ออกนอกศีลสมาธิปัญญา ไม่ให้ขาด ไม่ให้ห่าง ไม่ให้หายจากศีลสมาธิปัญญา...ด้วยความพากเพียร ด้วยความขวนขวาย ด้วยความตั้งใจใส่ใจแล้วนี่

ต่อให้ความรู้สึกที่เป็นเราตัวเรา..ที่มันแข็งแรงหนาแน่น ยิ่งใหญ่เหนียวแน่นขนาดไหน ...มันก็ค่อยๆ ถูกเสาะกร่อนจางคลายไปจากผู้ที่มีความพากเพียร ไม่ห่างศีลสมาธิปัญญานั้น

การภาวนาจึงเป็นการภาวนาที่ไม่มีเวลาหยุด ไม่มีเวลายั้ง ไม่มีเวลาให้รอ ไม่มีเวลาข้างหน้า ไม่มีเวลาข้างหลัง ไม่มีเวลาที่บอกว่าสมควรหรือไม่สมควร

ทุกเวลาเป็นเวลาที่สมควรตลอด การภาวนาจึงต้องมีอยู่ตลอด ไม่ห่างไม่หาย ...ไม่มีคำว่าเว้น ไม่มีคำว่าว่าง ไม่มีคำว่ารอ ไม่มีคำว่าหยุด ไม่มีคำว่าพักเลย

ไอ้กิเลสของเรา ไอ้กิเลสของตัวเรานั่นแหละ มันชอบพัก มันชอบรอ มันชอบผัดวันประกันพรุ่ง มันชอบว่า...วันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ เวลาเช้าจะดีกว่าเวลากลางคืน เวลากลางวันจะดีกว่าเวลาเช้า

เวลาเย็นจะดีกว่าตอนกลางวัน เวลาค่ำจะดีกว่าตอนกลางวัน  เวลาก่อนนอนจะดีกว่าตอนหัวค่ำ เวลาตื่นนอนตื่นแล้วจะดีกว่าตอนก่อนนอน ...ผัดไปเรื่อย จนหาเวลาภาวนาไม่ได้

ทั้งๆ ที่ว่า...ที่ภาวนาก็มีอยู่ตลอดเวลา ธรรมที่เป็นเครื่องระลึกรู้ระลึกเห็น ก็มีอยู่ตลอดเวลา...คือกาย ...แล้วมันมัวแต่ไปทำอะไรให้มันยากที่ไหนกันอยู่

มันไปปล่อยปละละเลย ให้จิตมันไปอยู่กับอะไรอยู่ ไปให้ค่าให้ความสำคัญกับอดีตอนาคตที่ไหนอยู่ ไปให้ค่าให้ความสำคัญกับความเป็นไป การกระทำคำพูดของสัตว์บุคคลอื่นอยู่

มันหมดเวลาไปกับอะไร ...ทั้งๆ ที่ว่าก้อนธาตุก้อนธรรมนี่ก็ติดเนื้อแนบตัวอยู่ตลอดเวลา ก้อนกาย ก้อนรู้ก็มี ...ที่ไม่มีคือความตั้งใจใส่ใจที่จะนึกที่จะน้อม ที่จะสร้างสติ ที่จะหวนคืน ที่จะโอปนยิโกกลับลงมา

มันไม่ใช่ว่า มันเป็นของที่หาได้ยากหรือต้องลงทุนลงแรงอย่างสูงยิ่ง ...แค่รู้เบาๆ แค่หยั่งลงเบาๆ มันก็เจอความรู้สึกในร่างกายอยู่แล้ว ...เพราะกายนี่มันไม่ได้ลอยอยู่ในอวกาศนะ มันตั้งอยู่บนพื้น 

เพราะนั้นเมื่อมันตั้ง มันต้องอาศัยพื้นเป็นที่ตั้ง นี่ มันต้องมีจุดตกกระทบ ...ระหว่างนั่งมันก็มีจุดตกกระทบกับพื้น มีความรู้สึกตึงแน่นอยู่ตรงนั้นชัดเจนอยู่แล้ว 

เวลาเดินก็มีจุดตกกระทบอยู่ที่ฝ่าเท้าฝ่าตีน เวลานอนก็มีจุดตกกระทบที่หลังที่เอว ที่ไหล่ ที่ก้น ...ก็มีตลอดเวลา มีธรรมปรากฏอยู่ตลอดเวลา ...แต่มันปรากฏอยู่ท่ามกลางความมืดบอด

ที่มันมืด ที่มันบอด ...เพราะมันไม่มีสติเข้าไปแหวก เข้าไปควาน เข้าไปเจาะ เข้าไปทำความสว่างกายขึ้นมาน่ะ ...มันก็อยู่กับกายด้วยความมืดมนอนธการ 

มันอยู่แบบ...ถึงจะนึกถึงกาย ก็นึกถึงกายที่เป็นชื่อ เป็นรูป เป็นเสียง เป็นของสวย เป็นของงาม เป็นของดี เป็นของไม่ดี ...นั่น มันก็ยังไปอยู่ในความมืดมิด

แต่ถ้ามันมีสัมมาสติเกิดขึ้นเมื่อไหร่ หรือว่าสร้างสัมมาสติให้เกิดขึ้น มันก็จะเปิดแหวกลงไป ลงที่กายที่แท้จริง ปกติกายปัจจุบันกายที่แท้จริง ...ความสว่างของกายมันก็ปรากฏขึ้นตรงนั้น

ก็เพียรรักษาความสว่างในกายนั้น ด้วยสติ สัมมาสติ ...จดจ่อ เพียรเพ่งด้วยจิตหนึ่ง กับรู้ ...จิตหนึ่งรู้จิตหนึ่งเห็นลงไปกับความสว่างของกายที่เป็นฐานตรงนั้น ด้วยความความแน่วแน่มั่นคง

ก็เรียกว่าสัมมาสมาธิก็บังเกิดขึ้น ...แล้วก็ทรงความรู้ความเห็นอยู่ภายในกายนี้ไว้ เพียรรักษาให้ต่อเนื่อง ไม่ขาดตกบกพร่อง ให้มันเต็มกำลัง ตามกำลัง ...จนเต็มกำลังความสามารถ เต็มความพากเพียร

ศีลมันก็จะเต็มบริบูรณ์ขึ้น สมาธิมันก็จะบริบูรณ์ขึ้น ไม่บกพร่อง ไม่กระพร่องกระแพร่ง ไม่ขาดวิ่น ...มีความอิ่มเต็มในศีล มีความอิ่มเต็มด้วยสมาธิ มีความอิ่มเต็มอยู่กับปัจจุบัน

มันไม่ยากเกินความเพียร มันไม่ยากเกินความตั้งใจ ...มันไม่ต้องไปสร้าง มันไม่ต้องไปจำลองกายขึ้นมาใหม่ มันไม่ต้องไปสร้างสถานที่ขึ้นมาใหม่ มันไม่ต้องสร้างโอกาสเวลาขึ้นมาใหม่

ที่ไหนก็ที่นั้น เวลาไหนก็เวลานั้น เป็นที่เดียวเวลาเดียวอยู่ตรงนั้น ...นั่น ไม่อยากได้มรรค..ก็จะได้มรรค ไม่อยากได้ผล..มันก็จะเกิดผล ไม่อยากวาง..มันก็จะวาง ไม่อยากปล่อย..มันก็จะปล่อย 

ถ้ามันทำได้อย่างนี้ มันไม่มีหรอกที่มันจะมายึดมั่นถือมั่น...ว่านี้เป็นเราอยู่จนวันตาย หรือว่าตายไปกับเราหรอก ...แต่นี่ความพากเพียรมันน้อย มันก็อ้างไปเรื่อย 

เรื่องนั้นเรื่องนี้สำคัญกว่า การปฏิสัมพันธ์กับผู้คน การข้องแวะกับผู้คน การข้องแวะกับเหตุการณ์ มันล้วนสำคัญกว่า ...นั่น มันให้ความสำคัญกว่า มันมีน้ำหนักขึ้นมา

น้ำหนักของกายตามความเป็นจริงก็เบาไปจนหาไม่เจอ จนไม่มีน้ำหนักพอที่จะไปถ่วงกับเรื่องข้างหน้า เรื่องข้างหลัง เรื่องคนอื่น เรื่องของเราข้างหน้าข้างหลังที่มันสลักสำคัญกว่า


(ต่อแทร็ก 13/28)  



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น