วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/26 (2)


พระอาจารย์
13/26 (570308D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
8  มีนาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 13/26  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น ในหลักของการอบรมจิตให้หยุด 

เราพูดว่า “หลัก” นะ ...เราไม่ใช้อุบาย เราไม่สอนอุบาย ...มันเยอะแยะ อยากใช้อุบาย ไปหาเอาตามเน็ท พระทันสมัยเยอะ เดี๋ยวนี้สำนักมีเป็นดอกเห็ด

เพราะนั้นเราไม่สอนเรื่องใช้อุบาย แต่สอนให้รู้จักหลักภาวนา ...ไม่เอาอุบายมาเป็นเครื่องกำหนด ไม่เอาท่าทางกายที่ฟิกซ์ (fix) ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งเป็นตัวกำหนด

ให้ใช้หลักกาย...เป็นตัวกำหนดแทนอุบายที่เคยใช้ถ้าใครเคยใช้พุทโธเป็นอุบายกำกับจิต ควบคุมจิต ก็ให้ลองเปลี่ยนมาใช้กายเป็นเครื่องกำหนดควบคุมจิต กำกับจิต

นี่หมายถึงกายที่ไม่จำเพาะลักษณะอาการใดอาการหนึ่ง หรือท่าทางใดท่าทางหนึ่ง ...คือกายปัจจุบันนั่นเอง ...เห็นมั้ย ทุกคนมีกาย...ถ้าไม่มีกายมันไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ 

ทุกคนมีปัจจุบันกาย ...โดยที่ไม่ต้องไปสร้างขึ้นมาใหม่ โดยที่ไม่ต้องไปอ้อนวอนร้องขอ บำเพ็ญทุกขกิริยาในท่าทางใดท่าทางหนึ่งขึ้นมา ...มันมี มันเป็น มันปรากฏ มันแสดง...ตลอดเวลา ไม่มีข้อจำกัด

ไม่มีอะไรมาจำกัดความปรากฏขึ้นของกายนี้ได้ ...ยกเว้นตายจากกันไป  เมื่อนั้นความปรากฏของปัจจุบันกายจึงหมด หยุด จบขั้นตอนของกาย หรือการก่อเกิดของกาย หรือการปรากฏของกาย

เพราะฉะนั้น ถ้าเอากายนี้เป็นหลัก...แทนอุบาย แทนท่าทางใดท่าทางหนึ่ง คือท่าทางของการนั่งสมาธิหรือเดินจงกรม ...ทีนี้ อย่าอ้างว่าทำไม่ได้ อย่าอ้างว่าไม่มีเวลา อย่าอ้างว่ายังไม่ถึงเวลาภาวนา

ก็ทำการภาวนากับกายนี้ ด้วยความสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ...ซึ่งหมายความนัยยะคือ ให้จิตมันมาหยุดอยู่กับกายปัจจุบันนี้ ด้วยความสม่ำเสมอและต่อเนื่องเท่าที่จะทำได้ ...ไม่เลือกเวลา ไม่มีเวลา

เนี่ย เรียกว่าการประกอบเหตุของการภาวนา …ซึ่งถ้าสามารถ หรือมุ่งมั่น หรือตั้งใจอย่างนี้ เช่นนี้ ...ทุกคนมีสิทธิ์...รู้แจ้ง รู้จริง ...เห็นแจ้ง เห็นจริง...ในภพและชาตินี้ ไม่มีใครต่ำต้อยด้อยค่ากว่ากัน

ไอ้ที่มันไม่ไปไหน ไม่ได้อะไร ไม่รู้จักอะไร วางอะไรไม่ได้ ไม่เข้าถึงธรรม ไม่เข้าใจธรรม ...ก็เพราะว่ามันรั้งๆ รอๆ กันนั่นแหละ ...รอเวลาปฏิบัติ รอสถานที่ปฏิบัติ รอให้ได้แต่งชุดขาวบ้าง

ซึ่งเวลาอย่างนั้นก็หาได้ยาก เพราะมันตัวเป็นน็อตหัวเป็นเกลียวกับการทำมาหากิน และพูด และคุย เป็นอาจิณ จนไม่มีเวลาภาวนา ...นี่เป็นข้ออ้างของทุกคน ไม่ต้องเถียงนะ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ 

เพราะนั้นเมื่อรู้ว่ามันชอบอ้างกาลและเวลา ก็ต้องแก้ตรงนี้ ...นี่บอกวิธีแก้ให้แล้วนะ ...ไอ้ที่ว่ามันทำไม่ได้ ทำไม่ถึง ทำไม่มีกำลัง  ก็เพราะว่าจะให้นั่งทั้งวัน เดินจงกรมทั้งวันนี่ มันคงทำไม่ได้แน่ๆ

จะมากำหนดอุบายไหนก็ตาม จะสัมมาอรหัง จะพุทโธ หรือจะลมหายใจ...โดยทำต่อเนื่องตลอดเวลา ...นี่ก็คงเข้ากับหน้าที่การงานไม่ได้ ก็คงเข้ากับคนรอบข้างเขาไม่ได้

คงทำไม่ได้แน่ๆ ...ก็แน่ล่ะ  ก็ใช่ ...เพราะมันเป็นอุบาย  มันใช้ได้แค่บางครั้งบางคราว ชั่วครั้งชั่วคราว ...แล้วก็ต้องมีสถานที่จำเพาะ จำกัดด้วยนะ

อย่างโยมขับรถใช่มั้ย ไปลองท่องพุทโธตอนขับรถดูซิ มันก็บรรลัยใช่ไหม ...เอ๊ะ อย่างนี้ก็ภาวนาตลอดทุกลมหายใจเข้าออกไม่ได้สิ ...ก็ไม่ได้น่ะสิ ก็มันเป็นอุบาย มันไม่ใช่หลัก

นั่นเอาไว้ไปภาวนาในที่จำเพาะ คนเดียว อย่างในห้องส้วมน่ะได้ หรือก่อนนอนนั่งบนเตียงอย่างนี้ก็ได้ แล้วก็หลับไปเลย เงี้ย สบายดี ลืม ทิ้ง พอแล้ว

แล้วก็ว่า “วันนี้ทำได้ตั้งเยอะแล้ว ตั้ง ๕ นาที หูย มากมหาศาลเลย  นี่ถ้าเป็นคนทำงาน ก็ทำไม่ได้กันหรอก เราอุตส่าห์ทำได้ตั้ง ๕ นาที” เก่งตายล่ะ นี่มันนึกว่าตัวมันเองเก่งแล้วนะนั่นน่ะ

ถ้ากิเลสมันมีปาก มันก็ว่า...เนี่ย มึงทำอะไรกูเหรอ มึงมาทำอะไร  กูนึกว่าจะฆ่ากู ปั๊ดโธ่ ทำอะไรเนี่ย นี่เรียกว่าภาวนาให้กิเลสมันเหยียดและหยามหรือไง

อายไหมน่ะ อายกิเลสมันไหมน่ะ ดูสิ มันพอสมน้ำสมเนื้อกันมั้ย ...กับกิเลสที่เราสะสมมาเป็นอเนกชาติเนี่ยนะ...แล้วมานั่งแค่ ๕ นาที ...เก่งตายล่ะ

แล้วยังบอกว่า ดีกว่าคนอื่นตั้งเยอะแยะ เออ ถ้ามันนั่งได้ทุกวันไม่ขาดสาย ก็ยังพอได้พูดว่ายังดีกว่าคนอื่นบ้าง ไม่เปลืองข้าววัด ...แต่นี่ทำไปแล้วก็กลายเป็นว่า 

“เออ ๓ นาทีก็พอแล้วน่ะ วันนี้เหนื่อยทั้งวัน เจอแต่เรื่อง  เอาเหอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยสิบนาที วันนี้นอนซะก่อน” ...อือ พอพรุ่งนี้เรื่องเยอะกว่าเดิมอีก มันก็หาเรื่องว่า “ไว้ก่อนๆๆ”

นี่คืออุบายนะ นี่คือการภาวนาตามอุบาย ...นอกจากนั้นไปก็ทิ้งเนื้อทิ้งตัว ปล่อยจิตล่องลอยเผลอเพลิน นั่งด่า ยืนก็ด่า เดินก็ด่า...ในใจนะ ปากอาจจะไม่ได้ด่า

ลมพัดก็ด่านะ..ด่ามั้ย แดดออกก็ด่าแดด..ด่ามั้ย  ฝนตกก็ด่าฝน..ด่ารึเปล่า ...ไม่ได้ด่าออกเสียงหรอก ด่าในใจ ด่าไปหมดน่ะ ไม่ด่าแต่ตัวเองยกเว้นไว้ แต่ด่าทุกสิ่งน่ะไม่ดีหมด ...นั่นแหละจิต..มันพาล

เพราะนั้นการที่ภาวนาโดยที่อาศัยกายนี้เป็นหลักยึด เป็นหลักให้จิตมันยึด...นี่รู้จักหลักไว้ก่อน ...เมื่อรู้จักว่าหลักยึดมันอยู่ที่ไหน แล้วสามารถเอามาใช้ได้ตลอดเวลา โดยไม่มีข้ออ้างและเงื่อนไข

เมื่อรู้จักว่าหลักมีอยู่แล้ว เอานี้เป็นหลัก แล้วก็ตั้งใจจะเอานี้เป็นหลัก ...เพราะว่ามันสามารถเอามาใช้ได้ในชีวิตปกติ ...จะถอดชุดขาวไปจากวัดแล้วก็ใช้ได้ กายก็ยังมีอยู่ ไม่ได้ถอดกายทิ้งไว้ที่วัดนะ

ทีนี้ก็อยู่ที่ความขวนขวาย หรือท่านเรียกว่าความพากเพียรนั่นเอง...ที่จะจับระวังจิต ควบคุม สำรวมจิต เท่าทันจิต...โดยอาศัยหลักกายหลักศีล

รักษาความระลึกจิตนี้ให้กำกับรู้ กำกับเห็นอยู่กับหลัก...คือกาย  ด้วยความพากเพียร ขวนขวาย ใส่ใจ มุ่งมั่น บากบั่น อดทน ไม่ท้อถอย ...อย่างไม่เลือกเวลา ไม่อ้างเวลา

ทีนี้การภาวนาของพวกเรานี่มันก็จะเข้าไปอยู่ในชีวิต โดยที่ว่าไม่มีพุทโธเลยสักคำก็ได้ ก็ถือว่าภาวนาอยู่ตรงที่...โต๊ะทำงาน บนถนน โต๊ะอาหาร ที่ชุมนุมพบปะเพื่อนฝูง...ได้หมด

นี่ ไม่มีข้อจำกัดแล้ว ไม่มีจิตตัวใดตัวหนึ่งมาหักห้าม มาหวงห้ามการภาวนาได้แล้ว

เพราะถ้ามันว่าพุทโธๆ มันก็ยังพอห้ามได้  เพราะมันไม่สามารถพุทโธได้ในขณะที่กำลังขับรถ ในขณะที่กำลังเดินถนน ในขณะที่พูดคุย ในขณะที่ทำหน้าที่การงาน กำลังคิดงาน อะไรอย่างนี้

เพราะถ้าอยู่ในลักษณะหน้าที่อย่างนั้นน่ะ ในลักษณะการงานตรงนั้นน่ะ จะให้มาพุทโธๆ หรือกำหนดลมหายใจหรืออะไร มันก็ทำงานไม่ได้ ...นี่ ดูเหมือนมันขัดแย้งกัน

แต่ถ้าเอาจิตมากำกับไว้อยู่กับกาย คอยรู้ คอยหยั่ง คอยรู้สึก คอยเห็น ลักษณะอาการ ลักษณะอิริยาบถ ลักษณะความเป็นไป การดำรงอยู่ของท่าทางตัวตนของกายนี้

มันยังมีช่อง เปิดช่องให้ได้คิด ให้ได้นึก ให้พูดคุยได้ ...นี่ ถ้ามุ่งมั่นลองเอากายเป็นที่กำหนดระลึกรู้ไว้นี่ มันจะค่อยๆ เข้าใจว่ามันสามารถเอามาใช้ระหว่างหน้าที่การงานได้

แล้วก็...พวกเราต้องเปลี่ยนความเข้าใจใหม่อย่างหนึ่งที่ว่า...ภาวนาแล้วต้องได้อะไร ...ไม่เอา ไม่รู้จะได้อะไรไปทำอะไร เพราะไม่รู้จะไปใช้ที่ไหน

ก็ภาวนาแบบไม่ต้องเอาอะไร ไม่ต้องไปคาดหมายหวังผลอะไรกับมันหรอก ภาวนางั้นๆ ไป ...นึกไว้อย่างนั้นก่อน ไม่ได้มรรคไม่ได้ผล ไม่เอามรรคไม่เอาผลอะไรแล้ว

เอารู้ตัวนี่แหละ เอารู้ว่ากำลังทำอะไร เอารู้ว่ากายมันกำลังอยู่ในท่าทางไหนก่อน ให้ได้ตรงนี้ก่อน ให้มันได้แค่รู้ว่ากายกำลังอยู่ในท่าทางไหนก่อน...เป็นผล

เอาผลเบื้องหน้านี้ก่อน ไม่ต้องไปฝันหวาน ไม่ต้องไปหวังผลในอนาคต ไม่ต้องไปหวังผลตามตำรา ไม่ต้องไปหวังผลตามคำกล่าวอ้างของคนนั้นคนนี้

ทำไป หวังผลในปัจจุบันว่า เออ กายมันกำลังอยู่ในท่าทางไหน ด้วยความเข้มแข็งในการปฏิบัติ ที่จะไม่หวังผลใด หรือไปตามคนอื่นที่เขาว่าไปภาวนาแล้วอย่างนั้น อย่างงี้ อย่างงู้น

อย่าไปเป็นกระต่ายตื่นตูม เผลอ ลืม ไปคร่ำเคร่งจมแช่อยู่กับอารมณ์ ความคิด ...เมื่อรู้ได้ ระลึกได้ว่า เออ ลืมเนื้อลืมตัวไปอีกแล้ว ...เอาใหม่ รู้ใหม่ รู้ไป

ก็ไม่ต้องไปเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถ หรือว่ารีบกระวีกระวาดเข้าห้องน้ำไปอยู่คนเดียว ...ก็ตรงนั้นน่ะ เอาตรงนั้น ตรงที่มัน..เอ๊อะ กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่วะ...นี่ รีบกลับเลย กายก็มีอยู่ตรงนั้นแล้ว

กลับมาดู กลับมาดูกาย...หยาบที่สุดก่อน คือท่าทางใหญ่ คืออิริยาบถ ๔  มันอยู่ท่าทางไหน ...มันต้องมีสักท่านึงล่ะ ตรงนั้นน่ะ ไม่นั่งก็ยืน ถ้าไม่ยืนก็เดิน แต่คงไม่ได้นอนหรอกระหว่างทำงานน่ะ

เพราะนั้นก็สร้างสติในการระลึกรู้กับกายปัจจุบัน อิริยาบถปัจจุบันนี่ ...จนเป็นนิสัย เป็นอุปนิสัย ในการดำรงชีวิตไป นะ


....................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น