วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/34 (2)


พระอาจารย์
13/34 (570405E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
5 เมษายน 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 13/34  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  อย่างเวลากลับมาบ้านแล้ว เอาเลย อย่าไปหวนคำนึงถึงอดีตในที่ทำงาน จับท่านั่งเลย ...นี่หน้าแรกของบทที่ ๑ คืออิริยาบถใหญ่ คืออยู่ในทรงไหน ยืน เดิน นั่ง ...เอาอย่างนี้ก่อน

ส่วนความรู้สึกภายในรายละเอียดเรียกว่ากายย่อย หรือความรู้สึกที่แขนที่ขา หรือความรู้สึกที่เป็นเวทนาในที่ต่างๆ ในกายนี่ มันเป็นรายละเอียดในกายใหญ่

ซึ่งถ้าอยู่ในระหว่างที่สมาธิมันยังไม่สามารถตั้งมั่นได้ดี แล้วมันยังพันตูอยู่กับอดีต-อนาคต สัญญาอารมณ์อยู่นี่ ...จับกายใหญ่ให้อยู่ก่อน จับอิริยาบถใหญ่ก่อน

มันอยู่ในอิริยาบถไหน ทรงไหน เอาทรงนั้นก่อน...หยาบๆ เรียกว่ากายหยาบๆ ...โดยใช้สติหยาบๆ แล้วก็โดยใช้สมาธิแบบหยาบๆ พอหลวมๆ

ทีนี้พอมันเริ่มอยู่ ไม่ค่อยเคลื่อนออกจากกายอิริยาบถใหญ่แล้วนี่ ...ระหว่างนั้นน่ะ มันไม่ได้หมายความว่ามันจะสงบระงับจากสัญญาอารมณ์นะ หรือว่าความคิดนึกปรุงแต่ง...ก็ยังมี

แต่ว่ากายก็ยังทรงอยู่อย่างนั้น สามารถทรงอิริยาบถกาย ไม่ว่าจะยืนหรือเดินได้...ในลักษณะที่พอหักหาญ พอรวมกันอยู่ได้ ไม่ออกนอก ...ตรงนี้ ค่อยๆ ควานลงไปในความรู้สึกย่อยในกาย


โยม –  ถ้าการเห็นกายมันไม่ต่อเนื่อง มันก็กระทบๆๆๆ

พระอาจารย์ –  กระทบอะไร


โยม –  คือมันจะมีความรู้สึกว่าเป็นกายเมื่อมันกระทบ

พระอาจารย์ –  แปลว่าสติสมาธิเรายังไม่แน่นพอ หมายความว่าหากายได้ยาก เข้าใจมั้ย


โยม –  คือมันจะรู้สึกตลอด แต่จะไม่รู้สึก...

พระอาจารย์ –  ในรายละเอียดเล็กๆ


โยม –  คือมันรู้สึกเหมือนเห็นมันกระทบหายๆๆ น่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ในลักษณะย่อยมั้ย


โยม –  ค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ ก็อย่างนั้นแหละ เข้าใจมั้ย


โยม –  คือมันไม่สามารถที่จะ คือมาดูกาย ไม่ใช่ว่าดูไม่ต่อเนื่อง คือมันดูต่อเนื่องมันเลยเห็นมัน

พระอาจารย์ –  เข้าใจไหมว่า เวลาเข้าไปเห็นในกายย่อยแล้วนี่ มันจะไม่มีกรอบ ...เข้าใจว่าไม่มีกรอบไหม มันจะไม่มีกรอบรูป มันจะเหมือนกับเป็นอะไรว่างๆ เกิดดับ ...นั่นแหละใช่

อย่าไปพะวงถึงรูป รูปกายที่ว่าจะอยู่ยั้งยืนยงแล้วมันจะได้ต่อเนื่อง ...ตรงนี้เราเข้าใจผิดว่าจะต้องทรงกายให้ต่อเนื่องโดยที่ว่ามีรูปนั้นอยู่ด้วย ...ไม่ใช่

พอมาถึงกายละเอียดปุ๊บนี่ ไอ้กายที่เป็นรูปอิริยาบถใหญ่นี่ ...จะไม่มี


โยม –  ก็รู้แบบละเอียดไป

พระอาจารย์ –  เออ ก็ดู ท่ามกลางความว่าง มันจะเห็นกายท่ามกลางความว่าง เข้าใจมั้ย แล้วไม่ต่อเนื่อง ไม่ต่อเนื่องหมายความว่าไม่เป็นเส้นตรงเดียวกัน


โยม –  แต่รู้ก็อยู่

พระอาจารย์ –  เออ รู้ก็ยังมี รู้ยังไม่หาย เข้าใจมั้ย แต่ว่ากายนี่มันจะไม่มีที่ตั้ง ที่แน่ชัด แล้วก็ที่ตายตัว


โยม –  มีคนบอกว่ารู้ละเอียดไป

พระอาจารย์ –  มันคือใคร ห๊า มันคือใคร ...ไปถามมันว่ามันเป็นอรหันต์มั้ย มันเป็นอรหันต์รึยัง ไอ้มันที่ว่าน่ะ ...อย่าไปฟังสุ่มสี่สุ่มห้า เข้าใจมั้ย

นั่น มันจะเห็นกายนี่ละเอียดขึ้น แล้วมันก็จะเห็นกายเกิดดับท่ามกลางความว่างเปล่า ไม่มีตัวตนที่แท้จริง เนี่ย...ตรงนี้มันจะเป็นกายที่เริ่มไม่คุ้นเคยแล้ว

เป็นกายที่ไม่เคยเห็นอย่างที่เคยเห็นโดยประจำ หรือที่เคยเห็นโดยอำนาจของกิเลสเห็น ...แต่มันจะเห็นโดยสภาวะปัญญา หรือว่าเห็นด้วยสภาวะของจิตผู้รู้ หรือว่าจิตที่ทรงสมาธิอยู่..สัมมาสมาธิ

เพราะนั้น กายใหญ่...ที่มันมีกายใหญ่ กายอิริยาบถอยู่นี่ ...มันอยู่ได้เพราะจิตมันสร้างนิมิต สัญญานิมิตว่าเป็นรูปทรง ทรวดทรงนี้ เป็นรูปลักษณะอย่างนี้

แต่เมื่อจิตมันเป็นสมาธิมากขึ้นปุ๊บ จิตมันหดมารวมอยู่กับรู้ ...ความปรุงในสัญญาก็ไม่มี สัญญาในรูปก็ไม่มี สัญญาในกายก็ไม่ค่อยมี มันเบาบาง เจือจาง

เพราะนั้นรูปจึงไม่ค่อยปรากฏ หรือถึงแม้จะปรากฏ ก็จะปรากฏในสภาวะเลือนราง บางๆ ...แล้วอย่าไปทำให้มันเข้มขึ้นอีก  ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเอา “เรา” มาทำอะไร ให้มันบางลงไป

ถ้ามันบางไปเรื่อยๆ จนถึงว่ามันมีแต่ความรู้สึกลอยๆ ...กายเป็นกายลอยๆ อยู่ วูบวาบๆ โดยไม่มีภาษา เงียบๆ ...นั่นแหละ เรียกว่ากายละเอียด...กายในกาย มันก็เข้าไปเห็นกายในกายเข้าไปเรื่อยๆ 

ก็ทรงไว้ รักษาอย่างนี้ไว้ รักษาความรู้ความเห็นในกายอย่างนี้ไว้...เท่าที่จะทำได้นะ เท่าที่จะทำได้ ...เพราะว่าในระดับผู้ที่กำลังเดินในขั้นตอนของมรรคเบื้องต้นนี่ มันจะทรงไม่ได้นาน 

เดี๋ยวมันก็จะมีกายหยาบ เดี๋ยวมันก็จะมีกายคนอื่นขึ้นมา ...ก็ไม่เป็นไร  แล้วก็ค่อยๆ ไล่กายลงมา ตั้งแต่กายหยาบมาละเอียด ...จนกว่ามันจะอยู่ตัว

เพราะนั้นให้สังเกตดูสิ ไอ้ตรงที่เห็นเป็นก้อนยิบยับ หรือว่าก้อนความรู้สึก ตรงนี้วูบ ตรงนี้วาบ ตรงนี้อึ้บ ตรงนี้อั้บขึ้นมานี่ ท่ามกลางการรู้การเห็นตรงนี้...โดยที่มีรู้ยังคงอยู่ 

แล้วก็ท่ามกลางกายที่มันปรากฏลักษณะอาการนี้ ให้สังเกตๆ ให้ส่องดูว่า...ตรงนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเลย ไม่มีความรู้สึกเป็นเราเลย ในท่ามกลางการรู้การเห็นตรงนี้

เพื่ออะไร ...เพื่อยืนยันว่า นี่ ที่สุด...ที่สุดของการรู้การเห็นในกายอย่างนี้ ผลก็คือความเป็นเรายิ่งหดหายลงไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องไปเจตนาดับละอะไรเลย

เพราะในกายที่มันเห็นอยู่อย่างนั้น มันปราศจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล ปราศจากความเป็นหญิงเป็นชาย ปราศจากความเป็นเราเป็นเขา ปราศจากแม้กระทั่งชื่อ กระทั่งบัญญัติ

เพราะนั้น อย่าไปกลัว อย่าไปกังวล อย่าไปฟังคำพูดเลอะเทอะ เละเทะ ของคนอื่น ...ให้เชื่อในสิ่งที่มันเห็นอย่างนี้ ความเป็นจริงก็คือสิ่งที่มันเห็นตรงนี้

แล้วมันเห็น แล้วมันจะละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ ...จะมาถอยออกมาหยาบทำไม ถ้ามันพามรรคลงละเอียดได้ก็ลงละเอียดไป ไม่ต้องวกวน กลับมาที่หยาบ

แต่ถ้ามันจะหยาบ ถ้ามันยังไม่ลงละเอียดจริง มันจะถอยออกมาหยาบเอง ...นี่ เขาเรียกว่ามันจะมีความอนุโลมปฏิโลมในตัวของมันเอง...เพื่ออะไร เพื่อให้เกิดความชำนิชำนาญ

พอชำนิชำนาญขึ้น คราวนี้ มันลงละเอียดลุ่มๆๆ ลึกลงไป จนไม่ถอยมาหยาบแล้ว จนถึงที่สุดในกาย ...จนถึงที่สุดในกาย มันไปหักล้างกันตรงนั้น เรียกว่าสมุจเฉท

แต่ถ้าเราไปละล้าละลัง กล้าๆ กลัวๆ แล้วก็ไปวิจิกิจฉาในธรรม เรียกว่าสงสัยในธรรมนี้...ว่ามันจะใช่หรือไม่ใช่ มันจะเกินไปมั้ย มันจะผิดพลาดมั้ย 

ตรงนี้ เห็นมั้ย นิวรณ์เกิดแล้ว สมาธิไม่ตั้งมั่นแล้ว กายนี่จะแตกหมดแล้ว กายตามความเป็นจริงในรายละเอียดของกายละเอียดนี่แตกหมดแล้ว ...มันก็กังวลว่าจะผิดพลาด

มันก็เกิดเร่งหากาย สร้างกาย อย่างที่มันเคยคุ้นมา ...ใครคุ้น...เรา อย่างที่เราคุ้น แล้วก็อย่างที่คนอื่นเขาคุ้นขึ้นมา ...นี่เขาเรียกว่าประตูสวรรค์ไม่มี กูจะเข้าประตูนรก ถอยหลัง เข้าใจมั้ย

รักษาไว้ ...ได้ก็ได้ ทรงได้ก็ทรง ...ถ้ามันทรงไม่ได้ มันจะถอยของมันเอง ถอยมาหยาบเอง มันจะเรียนรู้ ...แล้วเมื่อมันเข้าไปละเอียดก็ไม่ต้องกังวล

มันก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เข้าไปเรื่อยๆ ในกาย ลุ่มลึกๆ เข้าไปในกาย...ตามที่มันปรากฏ ไม่ใช่ตามเจตนา ไม่ใช่ตามความอยาก ตามความไม่อยากของเรานะ

มันจะเข้าไปละเอียดๆ ของมันเรื่อยๆ ...จนถึงกายประณีต จนถึงกายสุดประณีต จนถึงที่สุดของกาย ...อ๋อ เข้าใจแล้ว เข้าใจจริงๆ ว่า...ไม่มีกายจริง

อย่าว่าแต่ “กายเรา” เลยนะ อย่าว่าแต่กายชายกายหญิงเลยนะ คำว่าที่สุดของกายนี่...แม้กระทั่งกายนี่ยังไม่มีเลย ...ไอ้ที่ว่ากายๆ มีกายๆ นี่มันไม่ใช่นะ มันแค่สมมติ ติ๊งต่างว่ากาย

จริงๆ ไม่มีหรอกกาย ...เป็นเพียงธรรมหนึ่งที่ปรากฏ เป็นแค่สภาวธรรมหนึ่งที่ปรากฏ เป็นแค่สภาวธรรมหนึ่งที่ประชุมกันขณะหนึ่ง ...ตัวมันยังไม่รู้เลยว่าอะไร ตัวมันก็ไม่ได้รู้ ตัวมันก็ไม่ได้เรียกว่ามันคือกายด้วย

(ต่อแทร็ก 13/35)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น