วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/22


พระอาจารย์
13/22 (570228D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
28 กุมภาพันธ์ 2557


โยม –  ถ้างั้น ถ้าสมมุติว่าเราจะอยู่กับกายให้ได้นานๆ นั่นก็หมายความว่า เราก็ต้องปิดอายตนะสิเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  คือมันก็เป็นตัวช่วย...เบื้องต้น สงเคราะห์ในศีลสมาธิปัญญา

แต่อาศัยว่าการมีปัญญานี่ หรือว่าการฝึกไปเรื่อยๆ นี่  มันมีความชำนาญ...ชำนาญที่จะรู้ได้ท่ามกลางกิเลส  ชำนาญจนสามารถที่จะเรียกได้ว่าสามารถหยั่งถึงตัวศีลตัวใจนี่ได้ท่ามกลางกิเลส 

ในทุกสถานที่ ทุกสภาวการณ์ ...มันไม่จำเป็นจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่จำเพาะ หรือว่าชัทดาวน์ ซึ่งถ้าไม่ชัทดาวน์แล้วกูเละ ...ไม่งั้นน่ะ มันก็จะตายแค่ตรงที่มันชัทดาวน์นั่นแหละ มันไม่ก้าวหน้าขึ้น

มันจะไม่ก้าวหน้าหรือก้าวเดินไปในมรรค หรือว่าเจริญขึ้นในมรรค หรือว่าเจริญขึ้นในศีลสติสมาธิปัญญา หรือเจริญจนสามารถเอาศีลสมาธิปัญญามาใช้ในชีวิตปัจจุบัน

ทีนี้มันก็ตั้งหน้าตั้งตาเหมือนกับหมารอกระดูกน่ะ  เคยเห็นหมากับกระดูกมั้ย มันเคยกินกระดูก แล้วมันไปนั่งอยู่ตรงที่มันเคยกิน แล้วมันก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่กระดูกมันจะเกิดขึ้น เพราะมันเคยกินกระดูกตรงนี้

นี่ เขาเรียกว่าหมารอกระดูก ...แล้วมันจะไปตรงนั้น รออยู่แต่ตรงนั้น  ทีนี้มันไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้วในมรรค ศีลสมาธิปัญญา ...แล้วเมื่อไหร่ล่ะ มันจะเกิดกระดูกลอยมาจากฟ้า หรือใครมาหยิบยื่นให้

มันไม่ได้หากันง่ายๆ กระดูกน่ะ หรือจะหาได้ตลอดเวลา หรือให้มันเกิดภาวะที่เรียกว่าสมังคีโดยสถานที่ โดยสัปปายะ ...ตายเสียก่อนถึงเจอ หรือจะไปเจอชาติหน้า

หรืออธิษฐานขอให้ชาติหน้าเกิดมาดี เกิดมารวย เกิดมาได้ที่ เกิดมาได้อยู่ในสังคมที่สงบร่มเย็น  แล้วจะได้ภาวนาได้แบบลอดปลอดโปร่งเหมือนแมวลอดบ่วง  เคยเห็นแมวลอดบ่วงมั้ย ...นั่นแหละ ฝันเอา

เพราะนั้นมันจะต้องพัฒนา หมายความว่าโดยไม่เลือกกาลเวลา สถานที่และบุคคล ...ยากหน่อย ก็ต้องรู้ว่ายากหน่อย  ถ้าง่ายเราก็ไม่บอกหรอก ใช่มั้ย ถ้าง่ายมันก็ไปทำกันเองได้แล้ว

ก็เพราะมันยากน่ะสิถึงมาบอกให้ต้องทำ (หัวเราะกัน) ...ไม่ใช่บอกเพื่อให้หนี ไม่ใช่ไปหาแต่สถานที่ที่ว่า "มันสงเคราะห์ให้รู้ตัวได้ดีจัง แต่แหม..ลางานได้แค่นี้ มีเวลาปลีกตัวมาที่นี้ได้นิดเดียว ต้องไปซะแล้ว"

ไปพร้อมกับ...'ลาแล้วนะศีล ลาแล้วนะสมาธิ ลาแล้วนะปัญญา' (หัวเราะกัน) ..เซย์กู๊ดบายๆๆ so longๆๆ ...มันจะลาแบบ so long และ good bye  คือมันไม่ได้ลาแบบ see you again

คือถ้าความเพียรได้แค่นั้น ...แล้วมันไม่เร่งความเพียร หรือทำความเพียรให้มันมากขึ้นกว่านั้นน่ะ มันก็จะได้แค่นั้น ไม่มีความเจริญก้าวหน้าขึ้น

แล้วถามว่าความก้าวหน้า ความเจริญขึ้น หรือว่าความงอกงามในธรรม ในศีล นี่ จะไปเรียกร้องเอามาจากใคร หือ จะไปเรียกร้องเอาจากอาจารย์องค์ไหน ไปเรียกร้องเอากับพระพุทธเจ้าองค์ไหน

ท่านก็ให้ไม่ได้ ท่านก็มาภาวนาแทน สร้างศีลสติสมาธิให้แทนไม่ได้ ...ท่านก็อยากให้ แต่ท่านให้ไม่ได้ หรือท่านให้แล้วเราก็รับไม่ได้ 

เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาแบ่งกัน เหมือนกับอาหารยามขาดแคลนอย่างนี้ หรือเป็นของสาธารณะกุศลอย่างนี้ ...ภาวนามันเป็นของจำเพาะ

เพราะฉะนั้นมันต้องทำขึ้นเอง...ถึงจะยากก็ต้องทำเอง ถึงจะทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ ...คือการเล่นกับกิเลส การสู้กับกิเลสนี่ อย่าให้มันมีช่องว่าง อย่าให้มันมีข้อแม้

เนี่ย พอใกล้จะกลับบ้านนี่ มันเตรียมตัวทิ้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ...ก็มาตั้งใจแต่ใกล้ๆ ตรงนี้ แถวๆ เชียงดาวนี่ อะไรอย่างนี้  แล้วก็จะกลับคืน...เขาเรียกว่าแปลงร่างชั่วคราว

คือพยายามวิ่งหาหนังราชสีห์มาห่มหมา (หัวเราะกัน) ...เดี๋ยวพอออกจากนี้สักพักหนึ่ง...เดี๋ยวกูจะถอดหนังราชสีห์ออก แล้วกูก็จะกลายเป็นหมา

เนี่ย คือความไม่ขวนขวาย  มันจะเป็นอย่างนั้น ...คือกิเลสความเคยชิน มันเป็นทุกคนนะ คือความตายใจ มันเกิดความตายใจกับกิเลส...ว่าไม่เป็นไรหรอกๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นมาเอง นี่มันจะปลอบตัวเองแบบข้างๆ คูๆ

มันไม่ใช่มะพร้าวนี่ ที่ยิ่งแก่ยิ่งกะทิข้น ...นี่คนนะ จิตนะ...ไม่มีทางนะ ...เราบอกยิ่งแก่ภพชาติยิ่งเยอะไง มันไม่ใช่ว่ายิ่งแก่ยิ่งมันนะ หรือว่ามีราคาขึ้นมาเอง ...ไม่มีน่ะ ไม่มี

จิตนี่...มันจะดีขึ้นได้ หรือมันจะเข้าสู่ธรรมได้นี่  มันจะต้องอยู่และก็ทรงไว้ด้วยศีลสมาธิปัญญาโดยไม่คลาดเคลื่อน ...นี่คือการบ้าน...การบ้านเดียว ทำตลอดชีวิต ไม่มีหลายข้อหรอก

ทำยังไงที่จะอยู่กับศีลสมาธิปัญญาได้โดยไม่เว้นวรรคขาดตอน ทำยังไงถึงจะรู้ตัวได้ในสถานการณ์ที่ยากที่สุด นั่นล่ะเก่ง ...เก่งครั้งเดียวยังไม่พอ อย่าเพิ่งดีใจ อย่าเพิ่งเหลิง อย่าเพิ่งตีปีก เดี๋ยวเจออีก 

มันต้องเก่งให้ได้ทุกที่ ทุกสถาน ทุกกาล ต้องรักษาให้ได้เลย ...แล้วทุกอย่างมันจะรู้เอง เข้าใจเองว่า ทำไมอาจารย์ ทำไมพระพุทธเจ้า ถึงได้เคี่ยวเข็ญพวกเรา

ทำไมครูบาอาจารย์...ตั้งแต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่สิม หลวงปู่มหาบัว ฯลฯ ถึงพยายามเคี่ยวเข็ญกันนักกันหนาว่า...ต้องภาวนากันนะ 

แล้วมันจะเข้าใจเองว่า ทำไมท่านถึงเคี่ยวเข็ญอย่างยิ่ง ...แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่เข้าใจหรอก เพราะกิเลสมันเป่าหู เพราะกิเลสมันเอาหมอนมารองให้...ว่าโลกนี้สบาย ขันธ์นี้สบาย 

ว่าความเป็นไปข้างหน้าข้างหลังนี้สบาย ไม่มีอะไรเป็นทุกข์หรอก ไม่มีอะไรเป็นที่เดือดเนื้อร้อนใจหรอก  เนี่ย มันจะถูกตัวนี้ มันเอาหมอนมารองไว้ให้...กับขันธ์กับโลก ...ให้เข้าใจว่าอย่างนั้น

แต่เมื่อภาวนาไป ด้วยความบีบคั้น ด้วยความผลักดัน ด้วยการดุด่าว่ากล่าว ด้วยการโอ้โลม ด้วยการชักจูงชักนำก็ตาม ...แล้วมันเกิดการภาวนาขึ้นในจิตในใจของทุกคน ของตัวเจ้าของแล้วนี่ 

เมื่อบังเกิดผลแล้วจะเข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านสำเร็จธรรม รู้ธรรมแล้ว...ทำไมท่านจำเป็นต้องมาสอน  ท่านสำเร็จแล้วก็แล้วไปสิ ก็ไม่เห็นเป็นไร ใช่มั้ย ทำไมท่านถึงต้องมาสอน

ทำไมพระอริยะทั้งหลาย จึงต้องแสดงธรรมให้คนฟัง ...เหนื่อยนะ เป็นภาระนะ ทรุดโทรมต่อสุขภาพนะ โดยเฉพาะท่านที่องค์แก่ๆ ท่านก็ยังสอน สอนได้นิดก็สอน สอนได้หน่อยก็สอน สอนได้มากก็สอน

เหมือนๆ คนที่ไม่มีหัวคิด แก่จะตายอยู่แล้ว น่าจะเก็บแรงเก็บกำลังไว้มีชีวิตให้ยืนยาวมากกว่านี้ ทำไมจะต้องมาสิ้นเปลืองพลัง กับการสั่งการสอน การอธิบายแจกแจงข้ออรรถข้อธรรม

แล้วจะเข้าใจเองว่า...อะไร ที่ไหน เป็นที่ที่ควร ที่ประเสริฐ ...แล้วผู้ใด คนใด ที่เข้าไปถึงที่อันควรอันประเสริฐแล้วนี่...มันไม่เหมือน มันไม่เป็นอย่างที่เราคิด 

มันไม่ใช่อย่างที่จิตมันว่า มันไม่ใช่อย่างที่คนในโลกเขาเชื่อถือกัน...แบบหาที่เทียบ หาที่เปรียบ หาที่ประมาณไม่ได้ ...มันจะมาประมาณกันเองไม่ได้เลย

นี่คือว่าท่านฝากหรือว่าท่านชี้ช่องไว้เผื่อ ...เผื่ออะไร เผื่อวันข้างหน้าไม่มีผู้มาชี้ให้ต่อ เข้าใจมั้ย นี่คือธรรมทายาท ทำไมท่านถึงยอมทุ่มเทหรือว่ายอมเสียแรงกายแรงใจ ชี้ไว้ บอกไว้ แนะไว้

ในวันข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีอรรถธรรมที่ชี้ขุมทรัพย์...คือศีลสมาธิปัญญาซึ่งเป็นขุมทรัพย์นี้ได้ไหม แล้วได้ตรงไหม ได้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักไว้ไหม 

ท่านก็จะใช้กำลังเวลาที่เหลือนั่นเพื่อการนี้ ...เหมือนกับให้มันตราตรึงติดตรึงไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพื่อความชัดเจนในธรรม...และมรรค 

การเข้าสู่ธรรมมันจะต้องชัดเจนในองค์มรรค ...ถ้าไม่ชัดเจนในองค์มรรค มันจะเข้าสู่ธรรมที่แท้จริงไม่ถึง

เมื่อมันเข้าไม่ถึงธรรม มันเกิดความคลาดเคลื่อนในธรรม แล้วนั่นน่ะ มันจะเกิดความหลงผิดโดยไม่รู้ตัว ...แล้วมันจะไปในที่ที่ไม่ควรไป แล้วไม่น่าจะไปอย่างยิ่ง

เพราะอะไร ...เพราะการปฏิบัติมันจะค่อยๆ ตีบตันไปเรื่อยๆ ...มรรคนะ ผู้ปฏิบัติอาจจะเยอะขึ้นนะ แต่ว่าผู้ปฏิบัติที่ตรงต่อมรรค ตามมรรค จะน้อยลง

อย่าว่าถึงผลเลย ...แค่ตรงต่อมรรค ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากมรรคตามความเป็นจริง  ศีลสมาธิปัญญา อย่างที่เป็นหัวใจของศีลสมาธิปัญญานี่ จะน้อยลงตีบลงเรื่อยๆ

แต่ผู้ปฏิบัติธรรมน่ะจะเยอะขึ้น เพราะว่าเทคโนโลยีการสื่อสาร การกระตือรือร้นในการรับรู้ข้อมูล เกิดความใคร่ในการปฏิบัติ ในผู้ได้ยินได้ฟังนี่เยอะ

เหมือนกับคนสมัยนี้เขาบอกว่า พุทธศาสนาขจรขจายไปทั่วโลก ไปได้หมดน่ะ ผู้ปฏิบัตินี่เยอะ คนนับถือมีเยอะ ...แต่ผู้ที่เข้าถึง...อย่าว่าแต่ผลเลย แค่เข้าตัวมรรค นับตัวคนได้

แล้วยังต้องฟันฝ่าท่ามกลางกิเลสนี่ กว่าจะถึงที่สุดของมรรค แล้วก็มาเป็นอริยะจิตอริยบุคคล ...แทบจะนับตัวได้ 

นี่ มันยากนะ กว่าจะผ่านการกลั่นกรองในองค์มรรค กว่าจะผ่านด่านของกิเลส กว่าจะผ่านด่านของอวิชชาตัณหาอุปาทาน ...นี่ ไม่ใช่ว่า มีเงินแล้วก็จับจ่ายซื้อหาได้ง่ายๆ

มันต้องพากเพียรทุ่มเท...มากขึ้นๆๆๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่ว่าน้อยลงอ่อนลงๆ ไม่ได้ ...เนี่ย เราถึงบอกว่าผู้ที่จะกระทำไปจนถึงเข้าถึงผลอันเป็นที่นิ่งนอนใจวางใจได้แล้ว ความเพียรต้องอย่างยิ่งยวด

ก็ดูการพากการเพียร ...อย่าว่าแต่สมัยนี้เลย แม้แต่พระสมัยพุทธกาลน่ะ เห็นมั้ย เดินจงกรมจนขาแตก เลือดออก จิตก็ยังไม่รวม จิตไม่เป็นหนึ่ง ยังไม่เกิดสติสมาธิปัญญาที่แท้จริง 

เดินไม่ไหว...ก็กลิ้งเอา กลิ้ง นอนกลิ้งอยู่บนทางจงกรม กลิ้งจนเนื้อตัวนี่แตกไปหมด มันอยากฟุ้งซ่านดีนัก ...นั่นแหละสำเร็จในท่ากลิ้งอยู่บนทางจงกรม 

ดูซิ ความเพียรตั้งแต่พระสมัยพุทธกาล ท่านไม่ยอมอ่อนข้อให้กิเลสเลย...ถ้าไม่ได้ก็ไม่เลิก ถ้าไม่ถึงก็ไม่หยุด ...แต่ว่าสมัยนี้ความเพียรก็น้อยลง จะให้พากเพียรถึงที่สุดทีเดียวนี่ก็ยาก 

เพราะนั้นจะพักผ่อนนอนหลับก็มีบ้าง ใช้ได้ การทำหน้าที่การงานก็ทำไป คู่กันไป ...ไม่ต้องถึงกับโกนหัวบวชชี บวชพระ บวชเณรหรือว่าหย่าผัวหย่าเมีย รอให้ลูกจบก่อน อะไรอย่างนี้ 

ก็ทำคู่กันไปเท่าที่จะทำได้ตามกำลัง เรียกว่าน้อยหน่อย แต่ถี่ๆ ...คือจะเอาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย มันไม่ได้ มันไม่เอื้อ ...ก็ทำน้อยหน่อย แต่ว่าให้บ่อยและถี่ แค่นั้นเอง 

เฉลี่ยเอา คืออยู่ได้รู้ได้ไม่นานแล้วก็หาย...ก็รู้ถี่ๆ ดิ ไม่ต้องรู้นานหรอก เพราะว่ารู้นานแล้วข้อแม้มันเยอะ เงื่อนไขมันมาก รู้แล้วก็หายๆ ...ไม่เป็นไร ก็รู้บ่อยๆ

มันรักษาให้รู้ด้วยความต่อเนื่องไม่ได้ รักษาสติให้ต่อเนื่องไม่ได้ รักษากายให้ต่อเนื่องไม่ได้ ...ก็รู้บ่อยๆ ให้มันวันละ...สักหลายร้อยครั้ง หลายพันครั้ง 

มันไม่เสียหายขัดต่อผลประโยชน์หน้าที่การงานแต่ประการใด มันไม่เสื่อมเสียต่อสัมพันธภาพต่อคนรอบข้างแต่ประการใด ใช่มั้ย

แต่ว่าจะรอให้เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาทีเดียวเลย เอาแบบสักปีนึงเลย สองสามปีเลย อย่างนี้ ฝันๆๆ ฝันไปเถอะ ฝัน มันเป็นไปไม่ได้ ...กิเลสน่ะมันชอบรั้งและก็รอ  

รั้ง...อย่าเพิ่งทำน่าตอนนี้  รอ...ไว้ทำตอนนั้น เรียกว่ากิเลสมันเป็นตัวรั้งแล้วก็รอ นี่ กิเลสคือที่ไหน ก็คือความคิดของเรา ความเห็นของเรา ภาษาที่เรานึกอยู่ในใจนั่นแหละ กิเลสทั้งดุ้นนั่นแหละ เหล่านี้ 

เพราะนั้นมันต้องทำลงซะในปัจจุบัน ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้อยู่กับตรงนี้ รู้กับเดี๋ยวนี้  ไม่ว่าเดี๋ยวนี้...มันจะเป็นเดี๋ยวนี้ที่บ้าน ที่กรุงเทพ ที่เชียงใหม่ ที่เชียงดาว ที่บนรถ ที่ข้างถนน ก็ต้องให้เป็นเดี๋ยวนี้...ตรงนั้นให้ได้

จะนิดก็เอา จะหน่อยก็เอา ขาดแล้วก็รู้ใหม่ รู้แล้วก็รู้อีกๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ  มันว่า...จะได้อะไร จะไม่ได้อะไร ไม่รู้จะทำไปทำไม ก็อย่าไปฟัง อย่าไปสน ...รู้มันเข้าไป แบบโง่ๆ ซื่อๆ เซ่อๆ แล้วจะเป็นไปเอง

ความรู้ความเห็น ความเข้าใจในธรรม การเข้าถึงเนื้อแท้ธรรมแท้ การละเลิกเพิกถอนสิ่งที่ไม่แท้ สิ่งที่ไม่จริง สิ่งที่ครอบงำขันธ์ สิ่งที่ครอบงำใจ สิ่งที่ปิดบังขันธ์ สิ่งที่ปิดบังใจ ...มันก็ค่อยๆ กระจ่างออกไปเอง

ทีนี้จะรู้เลยว่า ทำไมท่านมาปากเปียกปากแฉะ พูดเป็นวรรคเป็นเวรอยู่คนเดียวเพราะอะไร ไม่เห็นมีใครพูดด้วย (หัวเราะกัน) ใช่มั้ย ...เห็นไหม มันมีเหตุนะ นี่คือการชี้แนะ

เพราะว่าจะได้ใช้ลมหายใจนี่ให้เต็มที่ที่สุด มีประโยชน์ที่สุด ...ไม่ใช่แค่หายใจเข้า-ออกมาหล่อเลี้ยงขันธ์ นี่ยังใช้ลมหายใจ...ในการที่สาธยายแสดงวิถีแห่งการดำเนิน 

การดำรง การเป็นไปของขันธ์ ความเป็นจริงของขันธ์ ความเป็นจริงของกิเลส ความเป็นจริงของการเกิดขึ้น การดับไป การตั้งอยู่...ของทั้งขันธ์และกิเลส ว่ามันเป็นยังไง ที่มาที่ไปมันมาจากอะไร

ซึ่งอนาคตต่อไปการอธิบาย การชี้นำ การชี้แนะ ถึงสภาพธรรม สภาวธรรม หลักการปฏิบัติ วิถีแห่งการปฏิบัติ อุบายแห่งการปฏิบัติ มันจะค่อยๆ เลอะเทอะเปรอะเปื้อนขึ้นไปเรื่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ 

จนเกิดความสับสน จนเกิดความปฏิเสธในการปฏิบัติธรรมในโลกในคนเลย นี่ พระก็จะมาออกอาการต่างๆ นานาอีกมากมาย ที่ทั้งน่าเชื่อถือ ทั้งไม่น่าเชื่อถือ ทั้งสงสัยว่ามันน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือดี 

แล้วจะทำให้ผู้เดินตามนี่ เกิดความละล้าละลัง เห็นมั้ยเนี่ย มันเป็นตัวที่บั่นทอนศรัทธา แล้วก็ผู้ที่ปฏิบัตินี่ กลับถูกมองด้วยสายตาที่ประณามและเหยียดหยาม ว่าโคตรโง่ 

มันเสียทั้งกระบวนเลยนะ มันเสียทั้งกระบวน มันเกิดความปรามาสซึ่งกัน เหล่านี้ มันจะเป็นอย่างนี้ และต่อไปนี่ ...คงได้ทันเห็นหรอกในชีวิตของพวกเรา จะเป็นอย่างนี้ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ

ถ้าพวกเรายังสร้างหลัก ตั้งหลัก สร้างฐาน ปักฐาน ขึ้นด้วยตัวเองไม่ได้  พวกเราจะถูกลักษณะอาการที่แวดล้อมเหล่านี้ พัดโบกไหวไปมา โอนเอนเอียงไปมา จนบังเกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้

ไม่ใช่เบื่อหน่ายในขันธ์และโลก แต่เป็นการเบื่อในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น...ว่าแล้วอย่างนี้มันจะมีจริงหรือพระอริยะ แล้วอย่างนี้มันจะมีจริงหรือผู้ที่ปฏิบัติถึงที่สุด 

แล้วมันจะมีวิธีการที่จริงหรือที่จะเข้าไปสู่ที่สุดสู่ความหลุดพ้น นี่ มันจะเกิดปรัศนีขึ้นในคนเหล่าพุทธทั่วๆ ไป ...แล้วไอ้พุทธพวกนี้ ปัญญาล้วนๆ ความรู้มากมาย เข้าใจมั้ย 

มันเป็นนักคิด นักเขียน นักปรัชญา นักกล้าคิดกล้าแสดง กล้ากระจายความคิดความเห็นออกไป ...แล้วมีเครื่องมือรองรับเป็นสื่อเทคโนโลยี ทั้งไลน์ ทั้งอินสตาแกรม ทั้งเฟส เหล่านี้จะขจรขจายออกไปเรื่อยๆ

พร้อมกับความเสื่อมลงของมรรคและผล และไอ้ผู้ที่ปฏิบัติโดยตรงต่อมรรคและผลมันก็แสดงความเสื่อมออกมาให้เขากระหน่ำลงไปอีก จนมันหันรีหันขวาง จับทิศจับทางกันไม่ถูกเลย

มองรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ...เพราะฉะนั้นน่ะ ให้ขวนขวายภายใน  อย่าละเลย อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ อย่าเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ 

เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่นี้ การเกิดตายไม่ใช่มีแค่ชาตินี้ ...ชีวิตยังยาวไกล ทางเดินยังอีกยาว...ถ้ายังกินๆ นอนๆ เผลอๆ เพลินๆ อยู่อย่างนี้

เพราะนั้นมันต้องเผื่อไว้ การเกิดในข้างหน้า สมัยหน้า...ถ้ายังเกิดนะ ...เหล่านี้  ที่ทำไว้นี่...เหมือนเราฝากธนาคารไว้กินดอกเบี้ยข้างหน้า 

เพราะนั้นให้ถือว่า อย่าทิ้งขว้างหลักกาย-ใจ ...เราเรียกว่าหลักกาย-ใจ เราเรียกว่าหลักปฏิบัติในองค์มรรค ...เราไม่เรียกว่าวิธีการปฏิบัติ แต่เราเรียกว่าหลัก...เป็นหลัก

แล้วก็เอาหลักนี่เป็นหลักการดำเนินชีวิต อย่าเอาความคิด อารมณ์ เป็นหลักดำเนินชีวิต ...เอาหลักศีลสมาธิเป็นหลักดำเนิน...ทั้งในชีวิตและทั้งในการปฏิบัติ 

และจะใช้หลักนี้หลักเดียว...แต่ปลอดภัยทั้งในปัจจุบันและอนาคต


..............................




วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/21


พระอาจารย์
13/21 (570228C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
28 กุมภาพันธ์ 2557


พระอาจารย์ –  นี่คือการต่อสู้กันนะ ...ไม่ใช่สงครามแบ่งชนชั้น ไม่ใช่สงครามแบ่งเหนือ-ใต้ ...แต่เป็นสงครามล้างเผ่าพันธุ์กิเลสภายใน

จิตใจของผู้เข้ารบนี่ ต้องเป็นนักรบ ฆ่าโดยไม่ปราณี...ฆ่ากิเลสตัวเอง ... ถ้าฆ่าอันอื่น...บาป ฆ่ากิเลสตัวเอง...บุญ มหาบุญ...ฆ่ามันเข้าไปกิเลสนี่ 

ท่านถึงเรียกว่าประหัตประหารโดยไม่เหลือ ล้างโคตรเลยแหละ ประหัตประหารถึงขั้นล้างโคตรกันเลยน่ะ ...ไม่เกรงใจกิเลสแล้ว ไม่หวังพึ่งกิเลสเป็นผลประโยชน์แล้ว ไม่เอากิเลสเป็นสรณะแล้ว 

ไม่เอาสุขทุกข์ที่ได้จากกิเลสเป็นอารมณ์แล้ว ไม่เอาความสุขความทุกข์ที่มันได้จากความคิดความนึก ความปรุงความเสพ ความสัมผัส ความติด ความข้องแวะอะไรนี่...มาเป็นที่มั่น ที่หมาย ที่ตั้งแล้ว

ต้องทำลายแบบเรียกว่าเอานิวเคลียร์ลงแบบกระจุยกระจายน่ะ เข้าใจมั้ย  จนไม่มีที่ให้ปรากฏเลย ...เมื่อไม่มีที่ให้ปรากฏน่ะ ทุกอย่างมันก็เป็นอนัตตา ...นั่นแหละจบ

กิเลสหาที่ตั้งไม่ได้ หาที่เกิดไม่ได้  “เรา” หาที่ตั้งไม่ได้ หาที่เกาะไม่เป็น  ไม่รู้จะเอา “เรา” ไปเกาะกับอะไร เพราะมันไม่มีอะไรให้เกาะ ...มันไม่มีอะไรให้เกาะให้ตั้ง มันก็ไม่มีที่ให้เกิด

เมื่อไม่มีที่ให้เกิด ก็หมายความว่า มันไม่มีภพ ...เมื่อมันไม่มีภพ มันก็ไม่มีชาติ ...เมื่อไม่มีชาติ มันก็ไม่มีทุกข์ โสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส ใช่มั้ย

แต่ถ้ามันยังมีที่ให้มันไป...ภพตั้งขึ้น มีแดนเกิด ...เข้าใจคำว่า “แดนเกิด” มั้ย มีภพเป็นแดน มีชาติเป็นแดนเกิด  เพราะมันมีที่...มันจึงมีแดนที่มันเกิด ...นี่ คือความไม่เห็นว่ามันเป็นอนัตตา

ที่..คืออัตตา ที่..คือตัวตน ที่..คือที่ตั้งที่หมาย  จิตน่ะมันจะไปสร้างที่ คือความหมายมั่น  มันไปปักหมุดที่ไหน นั่นแหละ “เรา” เกิด พร้อมที่จะเกิด ...ยังไม่เกิดตอนนี้ กูปักหมุดไว้ก่อน หมายไว้ก่อน

ถ้าเป็นผู้ชายเห็นผู้หญิงก็ “กูหมายไว้ก่อน หมายไว้ หมายตาไว้ๆ”  ถ้าเป็นผู้หญิงก็หมายผู้ชายไว้ หมายคนนี้ไว้ ...ได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือไม่ได้เลย แต่กูหมายไว้แล้ว

นี่ ไอ้ที่หมายนี่เก็บหมดนะ เป็นผู้ละเอียดรอบคอบมาก เก็บทุกเม็ด ไม่หายไปไหนเลย ...แต่หมายแล้ว มั่นเหมาะไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าไปเสพเป็นชาติ เข้าใจมั้ย ยังไม่ได้เสวยเป็นชาติ

นี่เรียกว่าภพภายใน...หมายไว้แล้ว ติ๊กๆๆๆๆๆ ทุกติ๊กเลย บอกให้ ท่ามกลางความไม่รู้ ท่ามกลางความไม่รู้ตัวนี่ ทุกอย่างที่มากระทบตาหู หมายหมด ปุ๊บๆๆๆๆ

ระหว่างที่ไม่รู้ตัวอยู่นี่ จิตนี้สร้างภพและชาติเป็นอเนกอนันต์ ...สร้างภพนะ ยังไม่ได้สร้างชาติ  แล้วชาติไปเกิดตอนไหน ...เกิดได้ในปัจจุบัน ตามคิว...ตามคิวนะ

อย่างมันติ๊กไว้...ประเทศไทยจะต้องดีๆ ปึ้บนี่ "ทำไงถึงให้ประเทศไทยดี" ปั๊บ...นี่ เอาตัวเข้าไปทำ เอาตัวปัจจุบันกายขันธ์นี่ไปทำ ไปเดิน ไปเย้วๆ ไปทำอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ว่าจะได้ผลอันนั้น 

เนี่ย ชาติบังเกิด มีการรับรู้ครอบอายตนะหก นี่ กรรมนี่สำเร็จแล้ว กรรมนี่สำเร็จแล้ว ...ชาตินี่บังเกิดเมื่อไหร่ กรรมนี่สำเร็จผลแล้ว...มโนกรรม กายกรรม วจีกรรมนี่...ครบแล้ว 

ถูก-ผิด...ไม่รู้ ไม่มีใครตัดสินได้  กุศล-อกุศล...ไม่มีใครตัดสินได้ด้วยภาษา ...ตัวของมันเอง ตัวการกระทำตรงนั้นเอง มันจะเป็นตัวบ่งบอกและรับผลในตัวของมันเอง 

จะพูดว่าถูก จะพูดว่าผิด...ไม่รู้ล่ะ ไปเสวยเอาแล้วกัน ... ถ้าเป็นกุศล...สบายใจ  ถ้าเป็นอกุศล...ทุกข์ จะไม่สบายใจ 

ซึ่งใครจะบอกว่าสลับกัน เปลี่ยนกัน หรือว่าถูกหรือผิด...ไม่รู้ล่ะ ...แต่ว่าตัวกรรมนี่ มันบังคับอยู่ในตัวของมัน ทำอย่างไรได้อย่างนั้น...วัวใครเข้าคอกมัน มันจะไม่ผิดคอกเลย 

นี่มันเป็นจุดบังคับ...ที่ปล่อยให้สร้างภพจนสร้างชาติขึ้นมานี่ ...แล้วยังเหลืออีกกี่ชาติล่ะที่ยังไม่ได้...ภพมีไว้แล้วนะ การปล่อยจิตปล่อยใจให้นึกคิดไปเรื่อยๆ นี่นะ

ถึงบอกว่ายิ่งอยู่นานเท่าไหร่ ...อยู่กับโลกอยู่กับอายุนี่ อยู่จนแก่เท่าไหร่นี่ อยู่กับความไม่รู้ตัวเท่าไหร่นี่ ...มันน่าจะรีบตายๆ ไปซะดีกว่าไหม เข้าใจมั้ย (หัวเราะกัน)


โยม –  บาปก็เยอะ

พระอาจารย์ –  ยิ่งอยู่นาน...มันก็ยิ่งหมายๆๆๆ มีที่ให้หมายเยอะแยะไปหมดน่ะ ...แล้วกว่าจะมาเกิดใช้ที่มันหมายได้ล่ะ หือ ...ถึงบอกว่าการเกิดนี่ ไม่มีที่สิ้นสุดเลยนะ มันตามภพในจิตไม่ทันเลยนะ

น่ากลัวนะเนี่ย จิตเนี่ย ...เพราะนั้นกว่าที่จะบล็อก...ไม่ได้บล็อกก็ต้องบล็อกล่ะวะ คือการควบคุมสำรวมจิตให้อยู่เป็นที่ เนี่ย นี่คือคีย์เวิร์ดเลย เรียกว่าสัมมาสมาธินั่นเอง

เพราะนั้นตัวที่จะเป็นสัมมาน่ะ ...คือสมาธินี่มันมีหลายสมาธิ หนึ่งการบริกรรม สองการที่ไปจดจ่ออยู่ในที่ใดที่หนึ่งเพื่อให้เกิดอาการสงบก็มี อย่างที่ทำกันมานี่

แล้วกว่าจะเข้าใจว่าสัมมาสมาธิ...ซึ่งเป็นสัมมาสมาธิที่ไม่ใช่การควบคุม แต่เป็นการลบล้างภพชาติ 

กว่าจะเข้าใจถึงจุดนี้อีก กว่าจะเรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจและแยกแยะว่า อันใดเรียกว่าสัมมาสมาธิ อันใดเรียกว่ามิจฉาสมาธิ อันใดที่ว่าโมหะสมาธิอีก ...และเมื่อรู้แล้วเข้าใจแล้ว ยังรักษาไม่ได้อีก 

แค่นี้มันก็ไม่รู้ว่าจะทันตอนตายรึเปล่า ใช่มั้ย ...ยังมานั่งคลุกๆ เคล้าๆ อยู่กับอะไรกันอีกล่ะ  แทนที่จะมาเรียนรู้เรื่องศีลสติสมาธิ ...แค่นี้ก็หมดเวลาไปครึ่งชีวิตแล้ว แทบจะหมดเวลาไปครึ่งชีวิตแล้ว 

กว่าจะสรุป ซ.ต.พ.ได้ แล้วก็เชื่อว่าสมาธิจริงๆ อยู่ตรงนี้...จิตที่มันหยุดและมันระงับการสร้างภพและชาติ มันอยู่ตรงนี้ และมันเป็นการระงับเพื่อการถอดถอนจริงๆ อยู่ตรงนี้

ไม่ใช่แค่ระงับแบบชั่วคราว แต่มันเป็นการระงับเพื่อละ และก็เป็นไปเพื่อความถอดถอนอยู่ภายใน ...นี่เรียกว่าสัมมาสมาธิ เพราะมันเป็นสมาธิที่กอปรด้วยปัญญา เป็นสมาธิที่กอปรอยู่ในองค์มรรค

กว่าที่มันจะได้สมาธิที่มันจะไปตั้งแท่นต่อสู้กับอำนาจของจิตปรุงแต่ง ไม่ใช่ง่ายๆ ...เราถึงบอกว่าการละอะไรนี่ ไม่มีอะไรละยากเท่าจิต ...จิตเป็นสิ่งที่ละได้ยากมาก ทันได้ยากมากที่สุดเลย ละเอียดมาก ไวมาก

เพราะนั้นการที่จะมานั่งดูจิตเป็นหลัก เป็นอาชีพน่ะ ก็เหมือนพวกโยมนี่เป็นเด็กอนุบาลแล้วไปทำข้อสอบของด็อกเตอร์ ...อย่าว่าแต่เขาจะให้สอบเลยนะ มึงอย่ามาใกล้ห้องสอบ ไปไกลๆ (หัวเราะกัน) 

แค่เดินมานี่ก็ถูกไล่แล้ว แบบเดินใส่กางเกงเอี๊ยมขาสั้นสะพายมาอย่างนี้ ...จะมาสอบเหรอ อย่าว่าแต่ขึ้นบันไดมาสอบเลย มาแค่หน้าประตูนี่ มึงไป...ไปเลย

มันคนละเรื่องกันนะ ...ระดับความหนาแน่น ระดับความละเอียดลออของสติปัญญา...กับระดับความไวของขันธ์ตัวนั้น กิเลสตัวนั้นๆ ...มันคนละชั้นกันเลย

แค่หากายยังไม่เจอ ใช่มั้ย ถามว่าแค่หากายยังไม่เจอเลย ...หาไม่เจอยังไม่พอ เจอแล้วยังรักษาไม่อยู่ ใช่มั้ย
นี่ หากายไม่เจอตอนไหน ...ตอนกำลังโกรธ ตอนกำลังถูกด่า ตอนดูข่าวดูทีวี

ถามดู ตอนนั้นหากายเจอมั้ย หรือเจอแล้วรักษากายตรงนั้นได้มั้ย ...ถ้าเจอ ถ้าได้...อนุญาตให้ดู  เอ้า อยากดูมาก อนุญาต ใช่มั้ย ...แต่ถ้าไม่ได้ ไม่อนุญาต

นี่ ตรงไปตรงมามั้ย นี่ ตามธรรมมั้ย ตามธรรมต้องอย่างนี้นะ ...จะมาบอกว่า ฮื้อ ได้น่ะ ...ได้จริงรึเปล่า โกหกรึเปล่า ตรงต่อตัวเองรึเปล่า ...ถ้าตรงต่อตัวเองมันจะรู้เลย อย่ามาเถียง เถียงไม่ได้

เพราะถ้าได้จริง...มันจะไม่ดูอะไรเลย มันจะไม่มีทางที่แม้แต่จะลุกไปเปิดเลย มันจะไม่ปล่อยให้เวลานี่เสียไปหมดไปกับอะไรเลย ...มันจะรักษากายนี้เท่าชีวิต

ทำไมถึงต้องรักษาเท่าชีวิต ...เพราะการที่รักษากายไว้นี่ เป็นจุดที่ตั้งที่หมายของการเกิดปัญญา ...มันจะต้องใช้เวลาในความต่อเนื่อง 

ถ้าไม่ได้ต่อเนื่องแบบยิ่งยวดนี่ มันจะไม่สามารถพอกพูนกำลังของปัญญาญาณที่จะเข้าไปหักล้างความเห็น ความยึดหน้าตาตัวตนเป็นเราเป็นเขา

แล้วมันจะปล่อยให้อะไรมาแย่งนาทีทองนี้เล่า ...กว่าจะเจอนาทีทองนะ ไม่ใช่แค่ภพนี้นะ ไม่ใช่แค่ชาตินี้นะ  พวกเรานี่หากันมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว ผ่านมันมาไม่รู้กี่อาจารย์แล้ว...หนึ่งนาทีทองนี่นะ

หนึ่งนาทีทอง หนึ่งภพหนึ่งชาติ หนึ่งอายุ ...เร็วนะ และกำลังจะหลุดมือไปแล้วนะ ตายแล้วลืมเลยนะ ...ถึงจะมีที่เก็บเป็นสันดานไว้อยู่...แต่กว่ามันจะไปคุ้ยสันดานของศีลสติสมาธิขึ้นมาได้นี่ล่ะ

ก็ถึงบอกว่าอย่าไปเกิด พ.ศ. 4500 แล้วกัน ...เหตุปัจจัยที่จะให้มาคุ้ยอนุสัยส่วนที่เรียกว่าเป็น นิสยปัจจโยในมรรคและผลนี่ มันจะถูกทับถมอยู่ในใต้เบื้องลึกของก้นบ่อเลยน่ะ

เพราะตลอดสี่พันสามพันห้าร้อยกว่าปีที่ผ่านมาเกิดกันนี่ มันจะมีแต่ทับๆๆ ...เพราะอะไร เพราะเหตุปัจจัยที่จะมากระตุ้นนิสยปัจจโยในมรรค ศีลสมาธิปัญญานี่...ร่อยหรอลง

บุคคลที่ได้มรรคและผล บุคคลที่ได้ผล...แล้วได้ผลซึ่งเป็นที่เรียกว่าสามารถแจกจ่ายธรรม หรือกระจายธรรม หรือสากัจฉาธรรมโดยละเอียดได้ ...จะน้อยลงไปเรื่อยๆ

แม้ว่ามันจะมีตำราเยอะมาก มากจนท่วมภูเขาดอยเชียงดาว  มีการยกเปรียบเทียบในภาษาธรรม มากมายมหาศาล เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่จะคลาดเคลื่อนทั้งสิ้น 

ถ้ายังปล่อยให้มันเป็นอยู่อย่างนี้ เช้าชาม-เย็นชามอย่างนี้  พวกเราจะต้องไปเสพ ไปเจอกับสภาพนั้นในภายภาคหน้า ...นั่นไม่ใช่ของสนุก ไม่ใช่ของที่เอื้อต่อมรรคผลแลนิพพานเลย

เพราะนั้นอย่าประมาท อย่าหมดเวลาไปกับการเป็นกองเชียร์ กับความไร้สาระของกิเลสคนในโลก มันไม่ได้มรรคผลนิพพานกับการเชียร์ข้างใดข้างหนึ่งหรอก 

รักษากายใจ ...พระพุทธเจ้าบอกว่ารักษาจริงๆ ไม่เกินเจ็ดวัน เจ็ดเดือน เจ็ดปี  ท่านการันตีเลย ถ้ารักษากันจริงๆ นี่ เราหมายถึงว่ารักษาจริงๆ นะ ไม่ใช่รักษาเล่นๆ แบบพวกเราทำ

ถ้ารักษาจริงๆ ...นี่ ถึงบอกว่ากายนี่ ก้อนแค่นี้เอง กว้างคืบ ยาววา หนาศอก ...มันไม่ได้ใหญ่โต มันไม่ได้กว้าง มันไม่ได้ต้องไปใช้เครื่องไม้เครื่องมือแบกหาม หรือว่าอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นระดับไฮเทคอะไร

มันก็ใช้อุปกรณ์ธรรมดาๆ คือรู้ธรรมดาๆ ...อิริยาบถก็อิริยาบถธรรมดา ไม่ต้องไปปีนป่ายขึ้นไปจนยอดดอยหรือลงเหวอะไรที่ไหน ...ตรงไหนก็ได้

เพราะนั้นท่านบอก...ถ้าทำจริงๆ ถ้ารู้จริงๆ กับกายโดยที่ว่าไม่เว้นวรรค ไม่คลาดเคลื่อน ตั้งใจใส่ใจ ...อย่างเลวที่สุดท่านก็บอกว่าเจ็ดปี 

มีหรือมันจะไม่รู้หมดทั่วสรรพางค์ ทุกอาการ ทุกลักษณะอาการของกาย ...มีหรือมันจะไม่รู้ ถ้ามันดูทั้งวี่ทั้งวัน ตลอดวี่ตลอดวัน

แล้วอาการของกายมันก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนพิสดาร มันก็เกิดวนเวียนซ้ำๆ ซ้ำๆ อย่างนั้นน่ะ โดนหนาวก็หนาว โดนร้อนก็ร้อน โดนหนาวอีกก็หนาว ก็หนาวๆ ร้อนๆ เหมือนเดิม 

ตึงๆ ไหวๆ ก็ตึงๆ ไหวๆ เหมือนเดิม  ไม่ว่าจะนั่งเก้าอี้ ไม่ว่าจะเดินไปเดินมา ก็ตึงๆ ไหวๆ แบบเดิม ...มันไม่ได้ผกผันมากมายมหาศาลแบบต้องใส่รูทถอดสแควร์รูทอะไร

ความจริงก็อยู่เบื้องหน้านี่ ...เพราะนั้นถ้าตั้งใจรู้เห็นกับมันจริงๆ มันก็เกิดความรู้รอบเห็นรอบในตัว เบื้องต้นของขันธ์หรือว่าขันธ์หยาบ เพื่อจะเป็นบาทฐานในการเรียนรู้ในขันธ์กลางขันธ์ละเอียดต่อไป

ในขันธ์ห้า กายนี่หยาบที่สุด ...เพราะนั้นปัญญาก็ต้องเริ่มจากขันธ์ที่หยาบที่สุดเป็นอันดับแรก แล้วก็ปัญญามันก็ส่องอยู่ตรงที่ก้อนที่ปรากฏน่ะแหละ ...มันก็รู้เห็นว่าเป็นก้อนที่ปรากฏ แค่นั้นแหละ 

มันก็แค่นั้นแหละ ไม่ต้องมากน้อยกว่านี้หรอก ...ไอ้ถ้าน้อยกว่านี้ก็หาย ลืมกัน  ถ้ามากกว่านี้ก็ปรุงแต่งเป็นภาษาหรือข้อความ แค่นั้นเอง


โยม –  แล้วต้อง...รู้แล้วให้เห็นด้วยไหมเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  มันเห็นของมันเองน่ะ ไม่ต้องไปกังวลในสิ่งที่เราพูด ...รักษาสภาวะ กายนี้ รู้กับกายนี้ไว้ แล้วทุกอย่างมันจะปรากฏไปตามลำดับ 

แล้วมันจะเกิดชวนะแยกแยะในตัวของมัน แล้วก็เกิดการแยกกันเป็นส่วนๆ ว่าอาการรู้อาการเห็น มันไม่ใช่มีแค่รู้ มันจะมีเห็นด้วย


โยม –  โยมว่าโยมเห็น แต่มันไม่ได้เห็นนาน มันเห็นแค่เป็นแว้บๆ

พระอาจารย์ –  ไม่เป็นไร จะเป็นยังไงก็เรื่องของมัน ...หน้าที่ ก็ทำหน้าที่ของเราไป อย่าลืมกาย อย่าทิ้งกาย แค่นั้นเอง ...นี่คืองาน

ส่วนไอ้ที่ว่าผลจะเป็นยังไงจากนี้ไปนี่ ให้เขาเป็นไปเอง  มันจะแว้บๆ มันจะหลายแว้บ หรือสองแว้บ หรือแว้บแล้วหายไปเลย ไม่มาอีกสามชาติอย่างนี้

ถ้าจิตมันบอกอย่างนั้น อย่าไปขวนขวายกับมัน ...ขวนขวายต่อหน้าที่การงาน คือมรรค คือเจริญมรรค คือสติรักษากาย กายคตาสติไว้ แค่นั้นแหละ โดยที่ไม่ไปเบี่ยงเบนสนใจกับเรื่องอื่น

แล้วทุกอย่างมันก็จะเป็นไปตามครรลอง ลำดับลำดาของมัน ... ต่อไปมันก็จะเกิดรู้และเห็น  ไม่ใช่แค่รู้ว่านั่ง หรือว่ารู้แค่ยิบๆ ยับๆ ของกาย ...มันก็จะมีอาการทั้งรู้และเห็น

มันจะเห็นได้ เกิดภาวะที่เห็นได้ หรือว่าเป็นอาการที่สามได้นี่...ก็ต่อเมื่อกายกับใจนี่แยกกัน ชัดเจน เข้าใจมั้ย ...แต่เมื่อใดที่กายกับใจมันยังไม่แยกกัน สภาวะเห็นนี่จะไม่เกิด 

มันมีแต่กาย แล้วก็รู้กับกายอยู่ติดกันนี่ มันจะไม่เกิดชัดเจนขึ้นมาเป็นตัวเห็น  มันก็จะเป็นแค่ ยืนเดินนั่งนอนๆๆ ตึ๊กๆ ตั๊กๆ  แข็งๆ ไหวๆ หนาวๆ ร้อนๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ 

มันก็อยู่เหมือนกับเป็นหนึ่งๆ กายกับใจนี่เป็นหนึ่งอยู่ด้วยกัน ...ก็รักษาให้ต่อเนื่องไว้  ธรรมชาติของกายกับธรรมชาติของใจมันเป็นคนละธรรมชาติกัน มันอยู่ด้วยกันไม่ได้เอง 

เมื่อมันเซ็ทตัวรวมตัวกัน ธาตุเป็นธาตุ ขันธ์เป็นขันธ์ ใจเป็นใจ ...ธาตุใจก็คือธาตุใจรวมกัน  ธาตุขันธ์ มหาภูตรูปก็รวมเป็นธาตุจริงๆ ของมัน

เมื่อมันต่างอันต่างรวมธาตุ ไม่เกาะเกี่ยวกัน ไม่มีอะไรมาดึงให้เกาะเกี่ยวกันโดยโยงใยของกิเลส หรือโยงใยของความคิดความเห็น โยงใยของโมหะ โยงใยของตัณหาอวิชชา ...มันจะลอยออกจากกัน

คือมันจะแยก เหมือนกับมันจะแยกกายกับใจให้ห่าง ให้เกิดช่องว่างความห่างกัน ...แล้วเมื่อมันเกิดช่องว่างห่างกันระหว่างกาย-ใจ ตรงนั้นมันจะปรากฏดวงทัสสนะขึ้น

เหมือนกับใจดวงนี้มันจะปรากฏอาการที่สามขึ้น เรียกว่าทัสสนะ หรือตาญาณ หรือตาใจ ...นี่ มันจะเห็นทั้งสองอาการ คือมันจะเห็นทั้งกายด้วยทั้งใจด้วย

ซึ่งถ้าทัสสนะหรือว่าตัวสมาธินี่ กำลังมันน้อย มันต่ำ ...ในทัสสนะที่มันเห็นนี่ มันจะมีความคิด มันจะมีความปรุงอยู่ในการเห็นนี้ คู่กัน

เพราะนั้นไอ้ความคิดความปรุงที่เกิดพร้อมกับการเห็นนี่ พร้อมกับลักษณะที่เห็นด้วยนี่ ...ตรงนี้ที่ท่านเรียกว่าจินตามยปัญญา...จินตาในลักษณะที่ว่า นี่คือกาย นี่คือความเป็นไตรลักษณ์ นี่คือนั้นนี้

แต่ถ้ามันเกิดลักษณะที่ไม่ได้เป็นจินตาอย่างที่ว่า แต่มันไปคิดถึงผัว คิดถึงเมีย ถึงลูก ถึงเหตุการณ์บ้านเมือง ไอ้นี่ไม่เรียกว่าจินตามยปัญญา ...ไอ้นี่เรียกว่าฟุ้งซ่าน

แล้วถ้าไปให้ค่าให้ความสำคัญกับมัน ...ทุกอย่างนี่ สภาวะเห็นกาย สภาวะรู้ว่ากายนั่งอยู่นี่ สภาวะพวกนี้จะเลือนๆ ลบ หาย ...มีแต่ไอ้อีนั่นนี่ ไอ้ที่กูรัก ไอ้ที่กูเกลียด เต็มตาเต็มใจอยู่ตรงนี้ มันคลุม มันครอบหมด

เพราะนั้นเมื่อรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้แล้ว ต้องรีบกลับมาอยู่ตรงนี้ ...พอกลับมาอยู่ตรงนี้ปั๊บ ที่...เอ๊ะ เมื่อกี้มันยังเห็นอยู่นี่ เหมือนมีสามตัวอยู่นี่ แล้วก็อยากให้มันอยู่อย่างนั้น ...ไม่ใช่แล้วนะ

นั่นฝันแล้วนะ ไอ้นี่เขาเรียกว่าฝันเอานะ สัญญา...มันเป็นสัญญา ...ไม่ได้ ...ต้องมานับหนึ่งใหม่ มารู้โง่ๆ กับกายโง่ๆ นั่ง นอน ยืน เดิน ...เอาใหม่เลย

ไม่ต้องถามหาใจ ไม่ต้องถามหาเห็น ไม่ต้องถามหาญาณน่ะ ...เอาแค่ถามกายก่อน อยู่กับกายก่อน ...นี่เขาเรียกว่าทวนกลับมาลงที่ศีลเป็นเบื้องต้น กลับมาลงที่กายเป็นเบื้องต้น

และระหว่างนี้มันก็จะเกิดความฟุ้งซ่านในกายนี้แหละ ..."กายตัวนี้ใช่มั้ย เมื่อกี้กายตัวนี้ยังอยู่ได้ ทำไมมันอยู่ไม่ได้ แล้วอย่างนี้เป็นกายจริงหรือกายหลอก" ...นี่เขาเรียกว่าเกิดความฟุ้งซ่านในกายศีลแล้ว

พอฟุ้งซ่านในกายนี้ ยังรวมไม่อยู่ ยังรวมกายเป็นหนึ่งไม่ได้ ยังรวมกายเดียวไม่ได้ ยังรวมกายที่เป็นก้อนศีลไม่ได้ ก้อนธรรมไม่ได้ ...นี่ เดี๋ยวจะมีกายคนอื่นแทรกเข้ามาตรงกายนี้ 

มันก็ฟุ้งอีกแบบนึงแล้ว นี่ คราวนี้พอมาฟุ้งในฐานตรงนี้ เอาไม่อยู่แล้ว เดี๋ยวเอาไม่อยู่แล้ว ...เหนื่อยฉิบหาย ไปนอนดีกว่ามั้ย หากายไม่เจอสักที มันเจอก็จับไม่อยู่ 

มันก็ลื่นเหมือนกับปลาไหลวูบวาบๆ หายไปหมด แล้วก็มีกายคนนั้นคนนี้สอดแทรกขึ้นมา กายข้างหน้าข้างหลัง ..นี่ ความฟุ้งมันจะเริ่มเกาะกุมให้เกิดความล้มเลิกในการหยุดหยั่งลงอยู่ในที่กาย


(ต่อแทร็ก 13/22)