พระอาจารย์
13/22 (570228D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
28 กุมภาพันธ์
2557
โยม – ถ้างั้น
ถ้าสมมุติว่าเราจะอยู่กับกายให้ได้นานๆ นั่นก็หมายความว่า
เราก็ต้องปิดอายตนะสิเจ้าคะ
พระอาจารย์ – คือมันก็เป็นตัวช่วย...เบื้องต้น
สงเคราะห์ในศีลสมาธิปัญญา
แต่อาศัยว่าการมีปัญญานี่
หรือว่าการฝึกไปเรื่อยๆ นี่ มันมีความชำนาญ...ชำนาญที่จะรู้ได้ท่ามกลางกิเลส ชำนาญจนสามารถที่จะเรียกได้ว่าสามารถหยั่งถึงตัวศีลตัวใจนี่ได้ท่ามกลางกิเลส
ในทุกสถานที่ ทุกสภาวการณ์ ...มันไม่จำเป็นจะต้องมาอยู่ในสถานการณ์ที่จำเพาะ หรือว่าชัทดาวน์ ซึ่งถ้าไม่ชัทดาวน์แล้วกูเละ ...ไม่งั้นน่ะ มันก็จะตายแค่ตรงที่มันชัทดาวน์นั่นแหละ มันไม่ก้าวหน้าขึ้น
มันจะไม่ก้าวหน้าหรือก้าวเดินไปในมรรค
หรือว่าเจริญขึ้นในมรรค หรือว่าเจริญขึ้นในศีลสติสมาธิปัญญา
หรือเจริญจนสามารถเอาศีลสมาธิปัญญามาใช้ในชีวิตปัจจุบัน
ทีนี้มันก็ตั้งหน้าตั้งตาเหมือนกับหมารอกระดูกน่ะ เคยเห็นหมากับกระดูกมั้ย มันเคยกินกระดูก แล้วมันไปนั่งอยู่ตรงที่มันเคยกิน แล้วมันก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่กระดูกมันจะเกิดขึ้น เพราะมันเคยกินกระดูกตรงนี้
นี่ เขาเรียกว่าหมารอกระดูก ...แล้วมันจะไปตรงนั้น รออยู่แต่ตรงนั้น ทีนี้มันไม่ต้องทำมาหากินอะไรแล้วในมรรค
ศีลสมาธิปัญญา ...แล้วเมื่อไหร่ล่ะ มันจะเกิดกระดูกลอยมาจากฟ้า หรือใครมาหยิบยื่นให้
มันไม่ได้หากันง่ายๆ กระดูกน่ะ หรือจะหาได้ตลอดเวลา
หรือให้มันเกิดภาวะที่เรียกว่าสมังคีโดยสถานที่ โดยสัปปายะ ...ตายเสียก่อนถึงเจอ
หรือจะไปเจอชาติหน้า
หรืออธิษฐานขอให้ชาติหน้าเกิดมาดี เกิดมารวย เกิดมาได้ที่
เกิดมาได้อยู่ในสังคมที่สงบร่มเย็น แล้วจะได้ภาวนาได้แบบลอดปลอดโปร่งเหมือนแมวลอดบ่วง เคยเห็นแมวลอดบ่วงมั้ย ...นั่นแหละ ฝันเอา
เพราะนั้นมันจะต้องพัฒนา
หมายความว่าโดยไม่เลือกกาลเวลา สถานที่และบุคคล ...ยากหน่อย ก็ต้องรู้ว่ายากหน่อย ถ้าง่ายเราก็ไม่บอกหรอก ใช่มั้ย ถ้าง่ายมันก็ไปทำกันเองได้แล้ว
ก็เพราะมันยากน่ะสิถึงมาบอกให้ต้องทำ
(หัวเราะกัน) ...ไม่ใช่บอกเพื่อให้หนี ไม่ใช่ไปหาแต่สถานที่ที่ว่า "มันสงเคราะห์ให้รู้ตัวได้ดีจัง แต่แหม..ลางานได้แค่นี้ มีเวลาปลีกตัวมาที่นี้ได้นิดเดียว ต้องไปซะแล้ว"
ไปพร้อมกับ...'ลาแล้วนะศีล
ลาแล้วนะสมาธิ ลาแล้วนะปัญญา' (หัวเราะกัน) ..เซย์กู๊ดบายๆๆ so longๆๆ ...มันจะลาแบบ so long และ
good bye คือมันไม่ได้ลาแบบ
see you again
คือถ้าความเพียรได้แค่นั้น ...แล้วมันไม่เร่งความเพียร หรือทำความเพียรให้มันมากขึ้นกว่านั้นน่ะ
มันก็จะได้แค่นั้น ไม่มีความเจริญก้าวหน้าขึ้น
แล้วถามว่าความก้าวหน้า ความเจริญขึ้น หรือว่าความงอกงามในธรรม ในศีล นี่ จะไปเรียกร้องเอามาจากใคร หือ จะไปเรียกร้องเอาจากอาจารย์องค์ไหน
ไปเรียกร้องเอากับพระพุทธเจ้าองค์ไหน
ท่านก็ให้ไม่ได้ ท่านก็มาภาวนาแทน
สร้างศีลสติสมาธิให้แทนไม่ได้ ...ท่านก็อยากให้ แต่ท่านให้ไม่ได้
หรือท่านให้แล้วเราก็รับไม่ได้
เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาแบ่งกัน
เหมือนกับอาหารยามขาดแคลนอย่างนี้ หรือเป็นของสาธารณะกุศลอย่างนี้ ...ภาวนามันเป็นของจำเพาะ
เพราะฉะนั้นมันต้องทำขึ้นเอง...ถึงจะยากก็ต้องทำเอง ถึงจะทำไม่ได้ก็ต้องทำให้ได้ ...คือการเล่นกับกิเลส
การสู้กับกิเลสนี่ อย่าให้มันมีช่องว่าง อย่าให้มันมีข้อแม้
เนี่ย พอใกล้จะกลับบ้านนี่ มันเตรียมตัวทิ้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ...ก็มาตั้งใจแต่ใกล้ๆ ตรงนี้ แถวๆ เชียงดาวนี่
อะไรอย่างนี้ แล้วก็จะกลับคืน...เขาเรียกว่าแปลงร่างชั่วคราว
คือพยายามวิ่งหาหนังราชสีห์มาห่มหมา
(หัวเราะกัน) ...เดี๋ยวพอออกจากนี้สักพักหนึ่ง...เดี๋ยวกูจะถอดหนังราชสีห์ออก แล้วกูก็จะกลายเป็นหมา
เนี่ย คือความไม่ขวนขวาย มันจะเป็นอย่างนั้น ...คือกิเลสความเคยชิน มันเป็นทุกคนนะ คือความตายใจ
มันเกิดความตายใจกับกิเลส...ว่าไม่เป็นไรหรอกๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นมาเอง
นี่มันจะปลอบตัวเองแบบข้างๆ คูๆ
มันไม่ใช่มะพร้าวนี่ ที่ยิ่งแก่ยิ่งกะทิข้น ...นี่คนนะ จิตนะ...ไม่มีทางนะ ...เราบอกยิ่งแก่ภพชาติยิ่งเยอะไง
มันไม่ใช่ว่ายิ่งแก่ยิ่งมันนะ หรือว่ามีราคาขึ้นมาเอง ...ไม่มีน่ะ ไม่มี
จิตนี่...มันจะดีขึ้นได้ หรือมันจะเข้าสู่ธรรมได้นี่ มันจะต้องอยู่และก็ทรงไว้ด้วยศีลสมาธิปัญญาโดยไม่คลาดเคลื่อน ...นี่คือการบ้าน...การบ้านเดียว ทำตลอดชีวิต ไม่มีหลายข้อหรอก
ทำยังไงที่จะอยู่กับศีลสมาธิปัญญาได้โดยไม่เว้นวรรคขาดตอน
ทำยังไงถึงจะรู้ตัวได้ในสถานการณ์ที่ยากที่สุด นั่นล่ะเก่ง ...เก่งครั้งเดียวยังไม่พอ
อย่าเพิ่งดีใจ อย่าเพิ่งเหลิง อย่าเพิ่งตีปีก เดี๋ยวเจออีก
มันต้องเก่งให้ได้ทุกที่ ทุกสถาน ทุกกาล ต้องรักษาให้ได้เลย ...แล้วทุกอย่างมันจะรู้เอง เข้าใจเองว่า
ทำไมอาจารย์ ทำไมพระพุทธเจ้า ถึงได้เคี่ยวเข็ญพวกเรา
ทำไมครูบาอาจารย์...ตั้งแต่หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน
หลวงปู่สิม หลวงปู่มหาบัว ฯลฯ ถึงพยายามเคี่ยวเข็ญกันนักกันหนาว่า...ต้องภาวนากันนะ
แล้วมันจะเข้าใจเองว่า ทำไมท่านถึงเคี่ยวเข็ญอย่างยิ่ง ...แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่เข้าใจหรอก
เพราะกิเลสมันเป่าหู เพราะกิเลสมันเอาหมอนมารองให้...ว่าโลกนี้สบาย ขันธ์นี้สบาย
ว่าความเป็นไปข้างหน้าข้างหลังนี้สบาย ไม่มีอะไรเป็นทุกข์หรอก
ไม่มีอะไรเป็นที่เดือดเนื้อร้อนใจหรอก เนี่ย มันจะถูกตัวนี้ มันเอาหมอนมารองไว้ให้...กับขันธ์กับโลก ...ให้เข้าใจว่าอย่างนั้น
แต่เมื่อภาวนาไป ด้วยความบีบคั้น
ด้วยความผลักดัน ด้วยการดุด่าว่ากล่าว ด้วยการโอ้โลม ด้วยการชักจูงชักนำก็ตาม ...แล้วมันเกิดการภาวนาขึ้นในจิตในใจของทุกคน ของตัวเจ้าของแล้วนี่
เมื่อบังเกิดผลแล้วจะเข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านสำเร็จธรรม รู้ธรรมแล้ว...ทำไมท่านจำเป็นต้องมาสอน ท่านสำเร็จแล้วก็แล้วไปสิ ก็ไม่เห็นเป็นไร ใช่มั้ย
ทำไมท่านถึงต้องมาสอน
ทำไมพระอริยะทั้งหลาย
จึงต้องแสดงธรรมให้คนฟัง ...เหนื่อยนะ เป็นภาระนะ ทรุดโทรมต่อสุขภาพนะ
โดยเฉพาะท่านที่องค์แก่ๆ ท่านก็ยังสอน สอนได้นิดก็สอน สอนได้หน่อยก็สอน
สอนได้มากก็สอน
เหมือนๆ คนที่ไม่มีหัวคิด แก่จะตายอยู่แล้ว
น่าจะเก็บแรงเก็บกำลังไว้มีชีวิตให้ยืนยาวมากกว่านี้ ทำไมจะต้องมาสิ้นเปลืองพลัง
กับการสั่งการสอน การอธิบายแจกแจงข้ออรรถข้อธรรม
แล้วจะเข้าใจเองว่า...อะไร ที่ไหน
เป็นที่ที่ควร ที่ประเสริฐ ...แล้วผู้ใด คนใด
ที่เข้าไปถึงที่อันควรอันประเสริฐแล้วนี่...มันไม่เหมือน มันไม่เป็นอย่างที่เราคิด
มันไม่ใช่อย่างที่จิตมันว่า มันไม่ใช่อย่างที่คนในโลกเขาเชื่อถือกัน...แบบหาที่เทียบ
หาที่เปรียบ หาที่ประมาณไม่ได้ ...มันจะมาประมาณกันเองไม่ได้เลย
นี่คือว่าท่านฝากหรือว่าท่านชี้ช่องไว้เผื่อ
...เผื่ออะไร เผื่อวันข้างหน้าไม่มีผู้มาชี้ให้ต่อ เข้าใจมั้ย นี่คือธรรมทายาท
ทำไมท่านถึงยอมทุ่มเทหรือว่ายอมเสียแรงกายแรงใจ ชี้ไว้ บอกไว้ แนะไว้
ในวันข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีอรรถธรรมที่ชี้ขุมทรัพย์...คือศีลสมาธิปัญญาซึ่งเป็นขุมทรัพย์นี้ได้ไหม แล้วได้ตรงไหม ได้ตามที่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักไว้ไหม
ท่านก็จะใช้กำลังเวลาที่เหลือนั่นเพื่อการนี้ ...เหมือนกับให้มันตราตรึงติดตรึงไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
เพื่อความชัดเจนในธรรม...และมรรค
การเข้าสู่ธรรมมันจะต้องชัดเจนในองค์มรรค ...ถ้าไม่ชัดเจนในองค์มรรค มันจะเข้าสู่ธรรมที่แท้จริงไม่ถึง
เมื่อมันเข้าไม่ถึงธรรม
มันเกิดความคลาดเคลื่อนในธรรม แล้วนั่นน่ะ มันจะเกิดความหลงผิดโดยไม่รู้ตัว ...แล้วมันจะไปในที่ที่ไม่ควรไป แล้วไม่น่าจะไปอย่างยิ่ง
เพราะอะไร ...เพราะการปฏิบัติมันจะค่อยๆ
ตีบตันไปเรื่อยๆ ...มรรคนะ ผู้ปฏิบัติอาจจะเยอะขึ้นนะ แต่ว่าผู้ปฏิบัติที่ตรงต่อมรรค ตามมรรค จะน้อยลง
อย่าว่าถึงผลเลย ...แค่ตรงต่อมรรค ไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนจากมรรคตามความเป็นจริง ศีลสมาธิปัญญา อย่างที่เป็นหัวใจของศีลสมาธิปัญญานี่ จะน้อยลงตีบลงเรื่อยๆ
แต่ผู้ปฏิบัติธรรมน่ะจะเยอะขึ้น เพราะว่าเทคโนโลยีการสื่อสาร
การกระตือรือร้นในการรับรู้ข้อมูล เกิดความใคร่ในการปฏิบัติ ในผู้ได้ยินได้ฟังนี่เยอะ
เหมือนกับคนสมัยนี้เขาบอกว่า
พุทธศาสนาขจรขจายไปทั่วโลก ไปได้หมดน่ะ ผู้ปฏิบัตินี่เยอะ คนนับถือมีเยอะ ...แต่ผู้ที่เข้าถึง...อย่าว่าแต่ผลเลย แค่เข้าตัวมรรค นับตัวคนได้
แล้วยังต้องฟันฝ่าท่ามกลางกิเลสนี่
กว่าจะถึงที่สุดของมรรค แล้วก็มาเป็นอริยะจิตอริยบุคคล ...แทบจะนับตัวได้
นี่
มันยากนะ กว่าจะผ่านการกลั่นกรองในองค์มรรค กว่าจะผ่านด่านของกิเลส
กว่าจะผ่านด่านของอวิชชาตัณหาอุปาทาน ...นี่ ไม่ใช่ว่า
มีเงินแล้วก็จับจ่ายซื้อหาได้ง่ายๆ
มันต้องพากเพียรทุ่มเท...มากขึ้นๆๆๆ
มากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าน้อยลงอ่อนลงๆ ไม่ได้ ...เนี่ย เราถึงบอกว่าผู้ที่จะกระทำไปจนถึงเข้าถึงผลอันเป็นที่นิ่งนอนใจวางใจได้แล้ว
ความเพียรต้องอย่างยิ่งยวด
ก็ดูการพากการเพียร ...อย่าว่าแต่สมัยนี้เลย แม้แต่พระสมัยพุทธกาลน่ะ เห็นมั้ย เดินจงกรมจนขาแตก
เลือดออก จิตก็ยังไม่รวม จิตไม่เป็นหนึ่ง ยังไม่เกิดสติสมาธิปัญญาที่แท้จริง
เดินไม่ไหว...ก็กลิ้งเอา กลิ้ง
นอนกลิ้งอยู่บนทางจงกรม กลิ้งจนเนื้อตัวนี่แตกไปหมด มันอยากฟุ้งซ่านดีนัก ...นั่นแหละสำเร็จในท่ากลิ้งอยู่บนทางจงกรม
ดูซิ ความเพียรตั้งแต่พระสมัยพุทธกาล
ท่านไม่ยอมอ่อนข้อให้กิเลสเลย...ถ้าไม่ได้ก็ไม่เลิก ถ้าไม่ถึงก็ไม่หยุด ...แต่ว่าสมัยนี้ความเพียรก็น้อยลง
จะให้พากเพียรถึงที่สุดทีเดียวนี่ก็ยาก
เพราะนั้นจะพักผ่อนนอนหลับก็มีบ้าง ใช้ได้
การทำหน้าที่การงานก็ทำไป คู่กันไป ...ไม่ต้องถึงกับโกนหัวบวชชี บวชพระ
บวชเณรหรือว่าหย่าผัวหย่าเมีย รอให้ลูกจบก่อน อะไรอย่างนี้
ก็ทำคู่กันไปเท่าที่จะทำได้ตามกำลัง เรียกว่าน้อยหน่อย แต่ถี่ๆ ...คือจะเอาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย มันไม่ได้
มันไม่เอื้อ ...ก็ทำน้อยหน่อย แต่ว่าให้บ่อยและถี่ แค่นั้นเอง
เฉลี่ยเอา คืออยู่ได้รู้ได้ไม่นานแล้วก็หาย...ก็รู้ถี่ๆ ดิ ไม่ต้องรู้นานหรอก
เพราะว่ารู้นานแล้วข้อแม้มันเยอะ เงื่อนไขมันมาก รู้แล้วก็หายๆ ...ไม่เป็นไร ก็รู้บ่อยๆ
มันรักษาให้รู้ด้วยความต่อเนื่องไม่ได้ รักษาสติให้ต่อเนื่องไม่ได้
รักษากายให้ต่อเนื่องไม่ได้ ...ก็รู้บ่อยๆ ให้มันวันละ...สักหลายร้อยครั้ง หลายพันครั้ง
มันไม่เสียหายขัดต่อผลประโยชน์หน้าที่การงานแต่ประการใด
มันไม่เสื่อมเสียต่อสัมพันธภาพต่อคนรอบข้างแต่ประการใด ใช่มั้ย
แต่ว่าจะรอให้เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เอาทีเดียวเลย เอาแบบสักปีนึงเลย สองสามปีเลย อย่างนี้ ฝันๆๆ ฝันไปเถอะ ฝัน
มันเป็นไปไม่ได้ ...กิเลสน่ะมันชอบรั้งและก็รอ
รั้ง...อย่าเพิ่งทำน่าตอนนี้ รอ...ไว้ทำตอนนั้น เรียกว่ากิเลสมันเป็นตัวรั้งแล้วก็รอ นี่ กิเลสคือที่ไหน ก็คือความคิดของเรา
ความเห็นของเรา ภาษาที่เรานึกอยู่ในใจนั่นแหละ กิเลสทั้งดุ้นนั่นแหละ เหล่านี้
เพราะนั้นมันต้องทำลงซะในปัจจุบัน ถ้าจะรู้ก็ต้องรู้อยู่กับตรงนี้ รู้กับเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าเดี๋ยวนี้...มันจะเป็นเดี๋ยวนี้ที่บ้าน
ที่กรุงเทพ ที่เชียงใหม่ ที่เชียงดาว ที่บนรถ ที่ข้างถนน ก็ต้องให้เป็นเดี๋ยวนี้...ตรงนั้นให้ได้
จะนิดก็เอา จะหน่อยก็เอา
ขาดแล้วก็รู้ใหม่ รู้แล้วก็รู้อีกๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ มันว่า...จะได้อะไร จะไม่ได้อะไร
ไม่รู้จะทำไปทำไม ก็อย่าไปฟัง อย่าไปสน ...รู้มันเข้าไป แบบโง่ๆ ซื่อๆ เซ่อๆ แล้วจะเป็นไปเอง
ความรู้ความเห็น ความเข้าใจในธรรม การเข้าถึงเนื้อแท้ธรรมแท้
การละเลิกเพิกถอนสิ่งที่ไม่แท้ สิ่งที่ไม่จริง สิ่งที่ครอบงำขันธ์ สิ่งที่ครอบงำใจ
สิ่งที่ปิดบังขันธ์ สิ่งที่ปิดบังใจ ...มันก็ค่อยๆ กระจ่างออกไปเอง
ทีนี้จะรู้เลยว่า
ทำไมท่านมาปากเปียกปากแฉะ พูดเป็นวรรคเป็นเวรอยู่คนเดียวเพราะอะไร ไม่เห็นมีใครพูดด้วย
(หัวเราะกัน) ใช่มั้ย ...เห็นไหม มันมีเหตุนะ นี่คือการชี้แนะ
เพราะว่าจะได้ใช้ลมหายใจนี่ให้เต็มที่ที่สุด มีประโยชน์ที่สุด ...ไม่ใช่แค่หายใจเข้า-ออกมาหล่อเลี้ยงขันธ์ นี่ยังใช้ลมหายใจ...ในการที่สาธยายแสดงวิถีแห่งการดำเนิน
การดำรง การเป็นไปของขันธ์ ความเป็นจริงของขันธ์
ความเป็นจริงของกิเลส ความเป็นจริงของการเกิดขึ้น การดับไป การตั้งอยู่...ของทั้งขันธ์และกิเลส ว่ามันเป็นยังไง ที่มาที่ไปมันมาจากอะไร
ซึ่งอนาคตต่อไปการอธิบาย การชี้นำ
การชี้แนะ ถึงสภาพธรรม สภาวธรรม หลักการปฏิบัติ วิถีแห่งการปฏิบัติ
อุบายแห่งการปฏิบัติ มันจะค่อยๆ เลอะเทอะเปรอะเปื้อนขึ้นไปเรื่อยๆ
มากขึ้นไปเรื่อยๆ
จนเกิดความสับสน จนเกิดความปฏิเสธในการปฏิบัติธรรมในโลกในคนเลย นี่ พระก็จะมาออกอาการต่างๆ นานาอีกมากมาย
ที่ทั้งน่าเชื่อถือ ทั้งไม่น่าเชื่อถือ ทั้งสงสัยว่ามันน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือดี
แล้วจะทำให้ผู้เดินตามนี่ เกิดความละล้าละลัง เห็นมั้ยเนี่ย มันเป็นตัวที่บั่นทอนศรัทธา
แล้วก็ผู้ที่ปฏิบัตินี่ กลับถูกมองด้วยสายตาที่ประณามและเหยียดหยาม ว่าโคตรโง่
มันเสียทั้งกระบวนเลยนะ มันเสียทั้งกระบวน มันเกิดความปรามาสซึ่งกัน เหล่านี้
มันจะเป็นอย่างนี้ และต่อไปนี่ ...คงได้ทันเห็นหรอกในชีวิตของพวกเรา
จะเป็นอย่างนี้ขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ
ถ้าพวกเรายังสร้างหลัก ตั้งหลัก สร้างฐาน
ปักฐาน ขึ้นด้วยตัวเองไม่ได้ พวกเราจะถูกลักษณะอาการที่แวดล้อมเหล่านี้ พัดโบกไหวไปมา
โอนเอนเอียงไปมา จนบังเกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้
ไม่ใช่เบื่อหน่ายในขันธ์และโลก
แต่เป็นการเบื่อในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น...ว่าแล้วอย่างนี้มันจะมีจริงหรือพระอริยะ
แล้วอย่างนี้มันจะมีจริงหรือผู้ที่ปฏิบัติถึงที่สุด
แล้วมันจะมีวิธีการที่จริงหรือที่จะเข้าไปสู่ที่สุดสู่ความหลุดพ้น นี่ มันจะเกิดปรัศนีขึ้นในคนเหล่าพุทธทั่วๆ ไป ...แล้วไอ้พุทธพวกนี้ ปัญญาล้วนๆ
ความรู้มากมาย เข้าใจมั้ย
มันเป็นนักคิด นักเขียน นักปรัชญา นักกล้าคิดกล้าแสดง
กล้ากระจายความคิดความเห็นออกไป ...แล้วมีเครื่องมือรองรับเป็นสื่อเทคโนโลยี ทั้งไลน์
ทั้งอินสตาแกรม ทั้งเฟส เหล่านี้จะขจรขจายออกไปเรื่อยๆ
พร้อมกับความเสื่อมลงของมรรคและผล และไอ้ผู้ที่ปฏิบัติโดยตรงต่อมรรคและผลมันก็แสดงความเสื่อมออกมาให้เขากระหน่ำลงไปอีก
จนมันหันรีหันขวาง จับทิศจับทางกันไม่ถูกเลย
มองรูปการณ์แล้วน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ...เพราะฉะนั้นน่ะ ให้ขวนขวายภายใน อย่าละเลย อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่ อย่าเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่นี้ การเกิดตายไม่ใช่มีแค่ชาตินี้ ...ชีวิตยังยาวไกล ทางเดินยังอีกยาว...ถ้ายังกินๆ นอนๆ เผลอๆ เพลินๆ อยู่อย่างนี้
เพราะนั้นมันต้องเผื่อไว้ การเกิดในข้างหน้า สมัยหน้า...ถ้ายังเกิดนะ ...เหล่านี้ ที่ทำไว้นี่...เหมือนเราฝากธนาคารไว้กินดอกเบี้ยข้างหน้า
เพราะนั้นให้ถือว่า
อย่าทิ้งขว้างหลักกาย-ใจ ...เราเรียกว่าหลักกาย-ใจ เราเรียกว่าหลักปฏิบัติในองค์มรรค ...เราไม่เรียกว่าวิธีการปฏิบัติ แต่เราเรียกว่าหลัก...เป็นหลัก
แล้วก็เอาหลักนี่เป็นหลักการดำเนินชีวิต
อย่าเอาความคิด อารมณ์ เป็นหลักดำเนินชีวิต ...เอาหลักศีลสมาธิเป็นหลักดำเนิน...ทั้งในชีวิตและทั้งในการปฏิบัติ
และจะใช้หลักนี้หลักเดียว...แต่ปลอดภัยทั้งในปัจจุบันและอนาคต
..............................