วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/29


พระอาจารย์
13/29 (570403C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
3 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  การภาวนาไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่ไปหาธรรมนอกตัว ไม่ใช่ไปหาธรรมในอดีตธรรมในอนาคตมาเป็นเครื่องระลึกรู้ ...ให้ถือกายนี้เป็นใหญ่ ให้ถือศีลนี้เป็นใหญ่ 

ก่อนที่จะให้ถึงใจนี้เป็นใหญ่เป็นประธาน มันจะต้องเอาศีลนี้เป็นใหญ่เป็นประธานในเบื้องต้นให้ได้ก่อน มันจึงจะเข้าถึงใจ ...ถ้ายังเข้าไม่ถึงกาย ไม่มีทางที่จะเข้าถึงใจ 

กายดีแล้ว..ใจปรากฏ  กายใจดีแล้ว กายใจชัดเจนแล้ว..ต่อไปใจนี้เป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จที่ใจ ...แม้กระทั่งมีความรู้สึกว่า “เรา” เกิดขึ้น มันก็มีความรู้ว่า “เรา” เกิดขึ้น แค่รู้ว่า “เรา” เกิดขึ้น 

ทุกอย่างจบลงที่ใจ มันรู้ว่า “เรา” เกิด...“เรา” ก็ดับ  ...ทั้งๆ ที่ว่าความเป็นเรายังไม่ได้หมดสิ้น หรือยังไม่ได้เป็นสมุจเฉท ก็ยังสำเร็จลงที่ใจ...ที่รู้ว่า “เรา” เกิดขึ้นมา..แล้วก็จะเห็น “เรา” ดับไป

รายละเอียดระหว่างเดินในมรรค ระหว่างเดินในศีลสมาธิปัญญา ...แต่ละคนนี่ มันจะเข้าไปเห็นรายละเอียดมากมายที่เรายังกล่าวอ้างไม่ทัน ไม่ถึง ...เยอะแยะ ยิบย่อย

แต่ทั้งหมดน่ะ ความรู้ความเห็นเหล่านี้ มันเป็นความรู้ความเห็นที่เอื้อที่สงเคราะห์ต่อความรู้แจ้งเห็นจริงและหลุดพ้นจากขันธ์ทั้งสิ้น หลุดพ้นจากการมีกิเลส เกิดกิเลส สร้างกิเลสความไม่รู้ทั้งสิ้น

ไม่ใช่มีความรู้ว่าเหตุการณ์ในโลก เหตุการณ์บ้านเมือง เรื่องราวคนนั้นคนนี้จะเป็นยังไง ...ความรู้นี้มันไม่ได้เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากขันธ์ หลุดพ้นจากการเกิดตายในโลกสามโลก

แม้แต่ความรู้ในตำรับตำราธรรมะ ก็ไม่สามารถจะหลุดพ้นได้ ...แต่ไอ้ความรู้ที่เราบอกว่าเห็นการปรากฏ เห็นการเกิดขึ้นแล้วมันจบลงที่ใจยังไง มันจบลงที่กายยังไง 

บางครั้งก็จบลงที่กาย บางครั้งก็จบลงที่ใจ เหล่านี้เมื่อเดินในมรรคไปเรื่อยๆ มันก็จะเห็นรายละเอียดเหล่านี้มากขึ้น เกิดความรู้ความเห็นภายในอย่างนี้ เป็นธรรมเล็กน้อยใหญ่ย่อย...อยู่ภายใน

จนบางครั้งที่มันหมกมุ่นอยู่ในมรรค จนเรียกว่าลืมวันลืมเดือนไปเลย เพราะมันอยู่ในภาวะที่เพลิดเพลินในธรรม ที่มันกำลังสำเหนียกศึกษาแล้วก็ตรวจสอบทำรายละเอียดอยู่ จนลืมวันลืมเดือนลืมปีไปเลย

ความลึกซึ้งในขันธ์ ความลึกซึ้งในกิเลส  การปรากฏในที่มาที่ไป การตั้ง การอยู่ การดับ มากมายจนแทบว่าไม่รู้เลยว่ามันกี่ชั่วโมงนาทีผ่านไปน่ะ เยอะแยะยิบย่อย

เพราะนั้น ไอ้แค่ที่ว่า...นั่งรู้ว่านั่งเฉยๆ มันไม่ใช่แค่นี้หรอก  มันมีอะไรในนี้อีกมากมาย...ที่ในสติปัญญาในระดับปุถุจิต กัลยาณชน นี่ มันยังมองไม่เห็น 

ยังมีอะไรเยอะแยะ ในแค่นั่งแล้วรู้ว่านั่งนี่  มันไม่มีแค่นี้ ...รายละเอียดในการนั่ง ในการรู้ว่านั่งนี่ มันมากมาย โดยความเป็นจริง มันมีความไม่จริงทับซ้อนเหลื่อมล้ำกันอยู่

กว่าจะใช้ปัญญาญาณทัสสนะที่เกิดจากศีลสมาธิ กลั่นกรองกิเลสออกจากกาย ออกจากขันธ์ ออกจากนั่ง ออกจากเดิน จนเหลือแต่กายอันบริสุทธิ์ จนเหลือแต่ใจอันบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินเลย ...ไม่ใช่เล็กน้อย

นี่แค่จำเพาะกายนี่ ก็ยังมีรายละเอียดอีกไม่รู้เท่าไหร่ ในการที่กิเลสขึ้นมาหมาย ...กว่าที่มันจะหมายว่าเป็นเรา กว่าที่มันจะหมายว่าเป็นชื่อเสียง สถานะหญิงชาย สวยงาม ...ขั้นตอนมากมาย

ก็อาศัยความพากเพียรของศีลสมาธิปัญญา มันเข้าไปสะสางออก ...ไม่ว่ามันจะไปขมวดเป็นปุ่ม เป็นปม เป็นเรื่องตรงไหน เป็นความข้องเป็นความขัดอย่างไร 

มันไปติด มันไปคากับปมไหน เงื่อนไหน สะดุดกับอะไรตรงไหน ...มันก็เข้าไปทำการสลาย แยกสลายออก จนมันเกิดความลุล่วง ราบเรียบไปหมดเลย

แต่ถ้ามารู้ดูเห็นกับแบบกระท่อนกระแท่น ปล่อยปละละเลย..มันไม่มีทางลุล่วงได้หรอก ...ให้เร่งความเพียรภายใน ตั้งใจ ใส่ใจ คอยทบทวนตัวเอง เดี๋ยวนี้รู้ตัวมั้ย เดี๋ยวนี้ยังรักษาความรู้อยู่กับกายได้มั้ย 

หรือว่ามันจะเริ่มรักษาได้ยากขึ้นๆ ...แล้วเมื่อมันเริ่มจะรักษาได้ยากขึ้นในการรู้กับกาย แล้วจะทำยังไงถึงจะรักษาได้ง่ายขึ้น ...มันก็ต้องเป็นกิจธุระที่ตัวเองจะต้องค้นคว้าอยู่ตลอดเวลา

ว่าทำยังไงศีลนี่จะไม่หลุด ไม่ขาดตกบกพร่องลงไป ...ที่ไหน เวลาไหน เมื่อใด เหตุการณ์ใด มันถึงจะดำรงคงองค์ศีล องค์สติ องค์สมาธิ ได้แนบแน่น เหนียวแน่น มั่นคง ต่อเนื่องขึ้น 

มันก็เกิดจากการค้นคว้าด้วยการปฏิบัติตัวเอง ไม่ใช่จากการถามคนอื่นหรือมาถามเรา ...นั่น พอมันรู้ว่าอย่างไร ที่ใด เหตุการณ์ไหน สภาวะแวดล้อมอย่างไร แล้วมันเหมาะมันควร

เมื่อมันเหมาะมันควรกับการสามารถรู้ตัว ทรงตัวรู้ ทรงตัวกาย ทรงตัวศีล ทรงสมาธิ ทรงปัญญาได้ดี ...ก็ให้เสพส้องข้องแวะกับอาการลักษณะนั้นโดยรวมให้มาก

นั่นจึงมีบางท่านบางองค์มีการหลุดพ้นในลักษณะอากัปกริยา กินบ้าง นั่งเฉยๆ บ้าง เข้าห้องน้ำบ้าง เดินไปเดินมาบ้าง ...เพราะมันเป็นการค้นคว้าอยู่ สามารถดำรงคงธรรมได้ในลักษณะแวดล้อมเช่นนั้น

ก็บ่มเพาะอินทรีย์ได้งอกงามในสิ่งแวดล้อมนั้น ที่ว่าเอื้อต่อมรรค เอื้อต่อผล...เป็นมงคล อากัปกริยานั้น สภาพแวดล้อมนั้น จึงเป็นมงคล ต่อการบังเกิดมรรคและผล

แต่ว่าให้เชื่อเรา ให้เชื่อพระพุทธเจ้าไว้เลยว่า...มันไม่มีหรอกในโรงหนัง ไม่มีหรอกในที่ม็อบกำลังแก่งแย่งชิงดีกัน ไม่มีหรอกในชุมชนที่พลุกพล่าน ไม่มีหรอกในห้างสรรพสินค้า

ในที่เหล่านั้น ความเป็นมงคลของศีลสมาธิปัญญา ของมรรคและผล...ไม่มี  ต่อให้ดำรงอากัปกริยายืนเดินนั่งนอนอยู่เหมือนกันเหมือนเดิมนั่นแหละ...ก็ยาก จนเรียกว่าไม่มีทาง

หรือระหว่างการพูดการคุยในเดรัจฉานกถา นอกเหนือจากศีลสมาธิปัญญา อรรถและมรรคและผล...นี่ก็ไม่มี ...พระพุทธเจ้าถึงวางหลักของมรรคไว้ สัมมาวาจา นี่ สัมมาสังกัปโป เหล่านี้

การดำริชอบนี่ มันจะต้องดำริทั้งภายในและภายนอก ว่าที่ไหนที่ชอบ สถานที่ไหนที่ชอบที่ควร ...ดำริชอบภายในคือดำริตั้งกายตั้งจิตตั้งใจไว้อยู่ที่ใดที่เป็นศีลสมาธิปัญญา จึงจะเป็นการดำริชอบ

ดำริชอบภายนอก คือที่ใดที่มันสามารถตั้งจิตอยู่กับกายใจได้ โดยการอยู่ได้ยาว อยู่ได้นาน นี่ ...เพราะนั้นการดำริชอบมันมีทั้งภายนอกและภายใน

เพราะนั้นเวลาที่มันไปอยู่ในที่ที่มันไม่เอื้อต่อการรู้ตัว ไม่เอื้อต่อศีลสมาธิปัญญา ..แล้วจะเข้าไปประกอบเหตุแห่งศีลสมาธิปัญญาด้วยสติ..สัมมาสติ ...มันจะรู้สึกว่าเหนื่อย ยาก ใช้แรงมาก และล้า

แต่มาอยู่อย่างนี้ มาฟังธรรมนี่ มาอยู่เบื้องหน้าเรานี่  ไม่เหนื่อย เบา สบาย ...ไม่ได้ตั้งใจรู้ตั้งใจเห็น มันก็ไม่ค่อยไปไหน เออ เห็นมั้ย นี่สิ่งแวดล้อมที่เป็นมงคล เป็นอย่างนี้

แต่ก็ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า บางอย่างบางครั้ง กรรมและวิบากมันเลือกไม่ได้ ที่จะมาจำเพาะอยู่...คือจะมาจ่ออยู่หน้ากูทั้งวี่ทั้งวัน ก็คงไม่ให้อยู่หรอก เดี๋ยวจะเจอดี

มันก็ต้องรู้ว่ามงคลน่ะ มันมีที่บ้านที่ช่อง ที่ห้องที่หับ ที่เงียบที่สงัด นี่ ในห้องน้ำในห้องส้วมได้หมด ไม่เป็นไร ที่มันเป็นส่วนตัวน่ะ ก็สร้างมงคลโดยรอบได้

แต่ว่าไอ้กรรมและวิบากมันบีบบังคับให้ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ต้องไปข้องแวะผู้คน มันก็ธรรมดา...มันก็ยาก ...แต่ก็อย่าละเลย โดยอ้างว่า รอก่อน ไว้ก่อน

มันก็ต้องทำ...ยากก็ทำ ทำได้นิดหน่อย...ก็ทำ ทำได้แบบไม่ปะติดปะต่อ...ก็ทำ ไม่เลือก ...อย่าเป็นคนช่างเลือกช่างเฟ้นธรรม ช่างเฟ้นสถานที่ ช่างเฟ้นเวลา ไม่เฟ้น

กายเขามาปรากฏนี่ ยังมาแบบไม่เลือกเลย กายนี่ปรากฏแบบไม่เลือกกาลเวลาสถานที่...ถือว่าเป็นอกาลิกธรรมนะ ...แต่ผู้ปฏิบัติน่ะ ไม่ถือเป็นอกาลิโกน่ะ

แต่กายนี่เขาเป็นอกาลิกธรรม ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมที่ปรากฏอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตลอดเวลา ไม่อ้างกาลเวลา สถานที่ เหตุการณ์เลย ...เพราะนั้น ยากหน่อยก็ต้องทำ

เออ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปๆ  เดี๋ยวมีช่วงมีเวลาที่ไม่ได้ถูกบีบบังคับด้วยกรรมวิบาก หน้าที่ ภาระ ...ถึงจุดนั้นวาระนั้น...ก็ต้องเรียกว่าเต็มเม็ดเต็มหน่วยกันเลย

แล้วก็ไม่ใช่เอาแค่เต็มเม็ดเต็มหน่วยแต่ตอนนั้น ...ตอนที่ยากนี่ก็ต้องฝ่าฟันคลื่นลมมรสุมในระหว่างนั้น เพื่อให้มันเกิดความแข็งแรง ชำนาญ แข็งแกร่ง

อย่าให้กิเลสมันเป็นข้ออ้าง ...อย่าให้จิต อย่าให้เรานี่ มันมีอำนาจสั่งการ ...รู้จักดื้อแพ่ง ไม่เชื่อมันบ้าง  อย่าไปฟังความข้างเดียว ฟังศีลสมาธิปัญญาสักข้างหนึ่ง อย่าไปฟังเอาเราเป็นใหญ่ข้างเดียว

มันว่ายังไงก็ว่างั้น บอกว่ารอก็รอ บอกว่าไว้ทำทีหลัง..ก็เดี๋ยวทำทีหลัง บอกว่าอย่าเพิ่งทำตอนนี้..ก็ยังไม่ทำตอนนี้ บอกว่าต้องให้มีอารมณ์โกรธ..ก็ต้องโกรธตอนนี้ บอกให้คิด..มันก็คิดตอนนี้เลย

เนี่ย อย่าไปเชื่อมันร้อยเปอร์เซ็นต์ ดื้อแพ่งกับมันซะบ้าง อย่าให้มันเต็มร้อยกับความเห็นของเรา ความเชื่อของเรา มันบอกให้คิดก็คิด มันบอกให้มีอารมณ์ก็มีอารมณ์ มันบอกให้พูดก็พูด

มันบอกว่าอยากทำอะไรก็ทำตามความอยากนั้นๆ ...นั่น “เรา” ทั้งนั้นแหละ ...ก็เป็นข้าทาสบริวารมันมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว กระด้างกระเดื่องกับมันซะบ้าง

เวลามันกระด้างกระเดื่องกับ “เรา” นี่ ...มันจะเสียหายทางโลกก็ช่างหัวมัน มันจะเสียหายจากการที่ถูกเขาเอารัดเอาเปรียบ การที่ถูกล่วงเกิน ก็ช่างหัวมันเถอะ ยอมๆ มันไป ...ถือว่ามันชนะ "เรา" ภายใน 

มันก็รู้ตัวมันเองว่า..มันแพ้เพื่อชนะ ...แพ้ให้โลก แพ้ภัยโลก แพ้ต่อกิเลสของบุคคลภายนอก แต่มันจะชนะกิเลสภายในของเรา ...มันไม่มีใครรู้ และไม่ต้องการให้ใครรู้ด้วย ผลมันเกิดกับผู้ภาวนานั้นเอง 

อย่าไปอยู่ใต้อำนาจของกิเลส อย่าไปอยู่ใต้อำนาจของเรา ให้มันเป็นผู้บงการ เป็นผู้สั่งการ เป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นผู้ชี้นิ้ว พาขึ้นสวรรค์พาลงนรกตลอดเวลา

แล้วตัวมันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแต่ประการใด ไม่ผิด ...สันดานมันไม่ดี เห็นมั้ย กิเลส อย่าไปคบกับมัน ดื้อแพ่ง อย่าไปเชื่อฟัง อย่าไปเคารพนบนอบมัน 

เอา เท่านี้แหละ ไปรู้ตัวให้มาก ให้นาน ให้ไม่ขาด ให้เหนียวแน่น ให้แนบแน่น ...เสียอะไรก็เสียมันไปเหอะ ไม่ได้อะไรก็ช่างหัวมันเถอะ ให้ได้กาย ให้ได้รู้...พอแล้ว

ไม่ได้อรรถไม่ได้ธรรม ช่างหัวมันเถอะ ไม่ได้ธรรมเท่าคนอื่นเหมือนคนอื่น ช่างหัวมันเถอะ ให้ได้กายให้ได้รู้...พอแล้ว  เงียบๆ ไว้ โง่เข้าไว้ จนมันแข็งแกร่ง แข็งแรงมั่นคงอยู่กับตัวเองนั่นแหละ

แล้วทุกอย่างมันจะชัดเอง ลู่ทาง แนวทาง ครรลองที่จะดำเนินต่อไปในองค์มรรค ...มันจะมีคำตอบปรากฏขึ้นมาเองอยู่ภายในนั่นแหละ เป็นปัจจัตตัง


โยม –  หลวงพ่อคะ เท่าที่หนูฟังที่เข้าใจก็คือว่า เออ ไม่ได้อยู่ที่สถานการณ์ที่ว่าเราจะเจอแบบไหน แต่ว่าเราจะต้องหาเวลาให้มันอยู่ตรงนี้ให้มันได้เยอะที่สุดใช่มั้ยคะ กับที่เราต้องกลับมาหาตัวเราให้เยอะที่สุดใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ไม่ว่าสถานการณ์มันจะเลวร้ายขนาดไหน สามารถรู้ตัวตรงนั้นได้มั้ย สามารถยืนหยัดอยู่กับกายตรงนั้นได้ไหม...ท่ามกลางตรงนั้นได้มั้ย ...นั่นน่ะฝึก ยากก็ต้องฝึก

อย่าปล่อยให้มันมีแต่อารมณ์ ...กายใจมันก็ถูกบังโดยอารมณ์ ถูกบังโดยเหตุการณ์ภายนอกหมด  แล้วก็อ้างว่า ให้รอให้หมดเหตุการณ์นั้นก่อน

มันก็ต้องทำความสร้างศีลสมาธิตรงนั้นให้ได้ ด้วยสติ เข้าใจมั้ย ถ้าไม่มีสติมันก็สร้างศีลสมาธิไม่ได้ ระลึกปุ๊บนี่ แล้วก็สร้าง...แล้วต้องเหนี่ยวต้องรั้งไว้ให้อยู่

ยากก็ยาก ยากก็ต้องทำ ...ไอ้ของง่ายมันได้อยู่แล้ว พอไม่มีเหตุการณ์มันก็รู้ตัวง่ายๆ ก็ได้ใช่ไหมล่ะ ...แต่พอมันมีอะไรให้เกิดอารมณ์ขึ้นมาอย่างนี้  มันรู้ตัวได้ง่ายไหมล่ะ


โยม –  หลงตลอดค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ กิเลสมันก็จะมาลงช่องเดิมน่ะ เข้าใจมั้ย มันก็จะใช้ช่วงนี้เป็นช่วงที่มันสร้างภพสร้างชาติ สร้างกรรมและวิบาก สร้างกรรมสืบเนื่องต่อเนื่องไปในอดีตอนาคต

แล้วมันก็ยังเก็บมาเป็นสัญญา มาครุ่นคิดกังวล ดีร้ายถูกผิด เนี่ย มันกินเวลาเข้าไปอีก กินเวลาการรู้ตัวเข้าไปอีก ...ขนาดเรื่องจบไปแล้ว มันยังไม่แล้วน่ะ

เพราะนั้นมันก็ต้อง...ที่นี้ เดี๋ยวนี้ให้ได้ โดยไม่เลือก ...นั่นแหละฝึก ต้องฝึก พอนั่งอยู่คนเดียวก็อย่าใจลอย อย่าให้มันลอย หาย อย่าให้มันเผลอเพลินไป

หรืออย่างนั่งอยู่ในรถนี่ เดี๋ยวหายๆ หายไม่รู้เท่าไหร่ ...ก็พยายามมาดูความรู้สึกที่หลังพิง เท้ากระทบ ก้น ตึงแน่นตรงเบาะตรงไหน  อย่าไปไหลออกทางตา ทางความคิด

พอไม่มีอะไรโมหะก็ครอบงำ ถือครอง ถือใหญ่ ครอบครองความเป็นกายเป็นใจเป็นขันธ์ไว้ ...กิเลสมันตลอดเวลา ถึงบอกว่าภาวนาไม่ตลอดเวลาไม่ได้ ...ไม่ได้กินกิเลสหรอก

พอไม่มีเรื่องปุ๊บ โมหะคลุม ไม่ง่วงก็ซึม ไม่ซึมก็ลอย เผลอเพลิน ...ถึงบอกว่ามันจะต้องประคอง เหมือนถือน่ะ ถือไว้อยู่ตลอดเวลาเลย..ศีลสมาธินี่ ถือกายถือรู้อยู่ตลอดเวลา ผ่อนมือวางมือไม่ได้

เพราะนั้นมันต้องทำน่ะ เจริญอยู่ตลอด ...ไม่งั้นพอวางเมื่อไหร่ โมหะคลุมก่อน ลืมเนื้อลืมตัวเลย ลอย ปล่อยสบาย ...กิเลสเรามันก็บอก เนี่ย เวลาพัก ทิ้งเนื้อทิ้งตัวหมด ทิ้งศีลสมาธิปัญญาหมด 

อย่างนี้เมื่อไหร่จะชนะมัน ...อย่างน้อยนี่ เวลามีเรื่องมีราวอะไรนี่ มันรู้ตัวไม่ได้ ก็อย่างน้อยให้รู้ว่ากำลังทำอะไร กำลังมีอารมณ์ กำลังพอใจ กำลังไม่พอใจยังไง ...ต้องรู้ก่อน ต้องให้รู้ไว้

ถึงแม้จะไม่รู้กับตัวได้อย่างชัดเจนมั่นคง ก็ให้รู้ว่ากำลังมีอารมณ์ กำลังไม่พอใจ ต้องให้รู้ คอยรั้งตัวรู้ สติ รั้งจิตไว้อยู่กับอารมณ์นั้น ไม่ให้มันเกินอารมณ์นั้นไป ไม่ให้เกินเป็นอนาคตไป

แล้วจากนั้น มันก็ค่อยตะล่อมลงมาที่กาย ที่ตัว ห่างจากอารมณ์ ให้รู้มันห่างออกมาจากอารมณ์ อย่าไปแนบติดกับอารมณ์ อย่างนั้นน่ะ


....................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น