วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/31


พระอาจารย์
13/31 (570405B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง
5 เมษายน 2557



โยม –  พระอาจารย์คะ แล้วที่เขาบอกว่าเทวดาก็ภาวนาได้ แล้วเขาภาวนายังไง

พระอาจารย์ –  ก็ได้บางพวก ...คือเทวดานี่มีหลายพวก แต่ส่วนมากโดยรวม เทวดาโดยรวมน่ะ ไม่ค่อยได้ภาวนา เพราะว่ามันเป็นสภาวะที่ติดสุข เสวยสุข

เหมือนเราทำงานแล้วก็เก็บเงินได้ ...แล้วต้องไปทำงานไหมล่ะ ก็ใช้เงินลูกเดียวน่ะ จะเที่ยว จะกิน จะอยากได้อะไรก็เอาเงินไปจับจ่ายใช้สอย ไม่ทำงานแล้ว ...นั่นน่ะคือลักษณะของเทวดาโดยรวม

แต่เทวดาที่เป็นผู้ปฏิบัตินี่..ก็มี ...คือไอ้พวกนี้เคยปฏิบัติธรรมมามากสมัยเป็นมนุษย์ แล้วมันมีสัญญาติดมาเป็นสัญญานุสัย ก็เรียกว่ามีสันดานของการปฏิบัติ

หรือจะเป็นเทวดาบางพวกที่เป็นวิสุทธิเทพ ...เคยได้ยินมั้ย วิสุทธิเทพ  พวกนี้เป็นพระอริยะมาเก่า แล้วปรารถนาที่จะไม่เกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ไปตั้งสัจจะธิษฐานไว้รออะไรบางอย่าง

คือมีเงื่อนไขบางประการ...โดยสัจจะ ...เลยไปเกิด ปรารถนาจะไปเกิดเป็นเทวดาเพื่อรออะไรบางอย่างเท่านั้นเอง ...นี่ พวกนี้ก็จะมีนิสัยในการภาวนา

แต่โดยทั่วไปนี่ เหมือนเศรษฐีใช้จ่ายเงินน่ะ เสวย หาความสุข เหมือนกันกับพรหม ...เหมือนกัน มันก็รอเวลาที่มันจะเงินหมดเมื่อไหร่...ก็ลงมาหาเงินในโลกแล้วกัน มันไม่คิดอะไรหรอก

แต่อันนี้คือเราพูดโดยรวมนะ มันไม่ใช่ว่าทั้งหมด เข้าใจมั้ย ...ที่นิสัยมันมีติดมาอยู่ เทวดาบางพวก บางองค์บางตนก็มีสัญญาในการภาวนา บางองค์ก็มีสัญญาในการสร้างบุญ

พวกนี้ก็มาขออาศัยพุทธะ ธรรมะ สังฆะ เป็นใบบุญ ...ก็ไปสิงสถิตอยู่ตามองค์พระ ให้ลาภให้รวย ให้โชคให้หวย อย่างนี้ก็มี แล้วก็มาแก้บนมาทำบุญ ตัวเทวดาก็ได้บารมีเหมือนกัน...นี่ก็มี

หรือที่มาทรงเจ้าเข้าผี ซึ่งส่วนมากไม่ใช่จะเทวดาหรอก ผี สัมภเวสี  พวกนี้ ที่ว่า ร.๕  พระนเรศวร พระเจ้าตาก เจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรของมัน ...พวกนี้ผีทั้งนั้น

ก็ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ตาเราก็มองไม่เห็น เข้าใจมั้ย ไม่ได้สาระ ...ตอนนี้เป็นคนก็ใส่ใจแต่เรื่องของคน เรื่องภพภูมิอื่น ก็ให้เขาเป็นภพภูมิอื่นไป ...ไม่ต้องไปปรารถนาอะไรทั้งนั้น

เป็นเทวดาก็ไม่เป็น เป็นพรหมก็ไม่เป็น เป็นคนอย่างเดียว ...เวลาจะตายนี่ อย่าไปคิดถึงสุข อย่าไปคิดถึงบุญ อย่าไปอยู่กับกุศลที่เคยทำมาแล้วก็หวังว่าจะไปเกิดที่ดีที่สูงส่ง

เดี๋ยวบุญมันจะพาไปเกิดเป็นเทวดาเป็นพรหม เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ เวลาจะตาย ใกล้จะตายนี่ จรดไว้ เอาจิตนี่มาจรดไว้กับเวทนากาย จะทุกข์ก็ทุกข์ จะลำบากก็ลำบาก จะอยู่ได้ยากก็อยู่ได้ยาก

จรดไว้อย่างนี้ ตายปุ๊บ...เกิดเป็นคนปั๊บไม่ต้องกลัว ถ้าไม่สำเร็จตอนนั้นนะ ...มันจะไม่หนีกายหรอก ก็มาเกิดเป็นคน แล้วมันจะมาเรียนรู้ต่อ มาเรียนรู้เรื่องกายต่อ

ทำไมล่ะ ...เทวดาหนึ่ง พรหมหนึ่ง เปรตหนึ่ง สัตว์นรกหนึ่ง อสุรกายหนึ่ง เดรัจฉานหนึ่ง เรียนรู้กายไม่ได้เลย ..เดรัจฉานมีกาย แต่วิบากกรรมปิดบัง ทำให้ไม่สามารถเรียนรู้กายสัตว์เดรัจฉานได้

เปรต สัตว์นรก อสุรกาย มีกายแต่เป็นกายละเอียด คือกายที่ไม่มีรูป..มหาภูตรูป ...จึงเรียนรู้กายธาตุกายขันธ์ไม่ได้ เรียนรู้กายดินน้ำไฟลมไม่ได้ ....เทวดาอินทร์พรหมมีกายละเอียด ก็เรียนรู้มหาภูตรูปไม่ได้

เพราะนั้นตัวมหาภูตรูปนี่ เป็นหนึ่งในขันธ์ห้า ...การจะเข้านิพพาน มันจะต้องแจ้งในขันธ์ห้า มันจะละเว้นขันธ์ใดขันธ์หนึ่งโดยไม่แจ้งไม่ได้

เพราะนั้นเมื่อตกไปอยู่ในฐานะของเทวดาอินทร์พรหม ถึงจะไปแจ้งจิต แต่มันจะไม่แจ้งกาย เข้าใจมั้ย


โยม –  แล้วถ้าสมมุติเป็นโสดาบันไม่ได้หรือ

พระอาจารย์ –  ไม่ได้ ...นอกจากเป็นโสดาบันมาตั้งแต่เป็นมนุษย์ แล้วปรารถนา...พวกนี้ที่เป็นพวกวิสุทธิเทพนี่ อย่างน้อยอย่างต่ำนี่จะเป็นโสดาบันกับสกิทาคา..สองภพเท่านั้น

เพราะอนาคาเขามีที่จองของเขาอยู่แล้ว อนาคาเขาก็อยู่สุทธาวาส เป็นพรหมอีกประเภทหนึ่ง เป็นพรหมที่เรียกว่าขึ้นแท่นรอรับเหรียญ...ไม่ใช่เหรียญเงินเหรียญทองแดงนะ ขึ้นแท่นเหรียญทองลูกเดียว นั่น อีกประเภทหนึ่ง

เพราะนั้นอย่าไปปรารถนาภพอื่น ตราบใดถ้ายังไม่แจ้งในกาย...เอากายเป็นหลัก ...นอกจากว่าโยมน่ะสำเร็จโสดาบันแล้ว เข้าใจมั้ย ... สำเร็จรึยัง...ยัง สกิทาคารึยัง...ยัง อนาคารึยัง...ยัง 

แล้วยังจะไปภาวนาที่ไหน จะไปภาวนาในภพไหน หือ เทวดาเหรอ ก็ไม่มีกายให้ภาวนา ...เป็นหมาเป็นหมู เป็นกาเป็นไก่ เป็นวัวเป็นควาย มีกายหยาบก็จริง ...ก็ดู หมาเราน่ะมันนั่งฟังเทศน์ทุกวัน ไม่เห็นมันสำเร็จอะไรเลย 

เพราะมันฟังไม่รู้เรื่อง แล้วมันไม่มีสติ ไม่สามารถสร้างสัมมาสติ ไม่สามารถสร้างสัมมาสมาธิ สามารถโอปนยิโกลงมาที่กายปัจจุบันไม่เป็น ทั้งที่มันฟังภาษาคนนี่..แต่ไม่รู้เรื่อง

มันก็รู้ได้แต่ “กินข้าวๆ ไป..กิน ไปกินข้าว” แค่เนี้ย ...ซึ่งไม่ได้รู้โดยแปลความหมายนะ มันไม่สามารถแปลความหมาย  แต่มันเป็นความคุ้นเคยว่า ถ้าอย่างเนี้ย...แล้วได้อย่างเงี้ย

ถ้าพูดลักษณะคล้ายๆ อย่างเนี้ย แล้วจะได้กิน แล้วมันจะอิ่ม แค่นั้นน่ะ ...เดรัจฉานไม่สามารถสำเร็จได้ เพราะว่ามันน้อมจิตไม่เป็น โอปนยิกธรรมไม่เป็น โอปนยิโกไม่เป็น

ถึงเป็นเทวดาอินทร์พรหม โอปนยิกธรรมได้ ...ก็ได้แต่จิตๆ ก็สำเร็จที่จิต..แค่จิต ...แต่ไม่แจ้งในขันธ์ห้า...ยังไงๆ ก็ต้องมาเกิดเป็นคน


โยม –  พระอาจารย์ ขออนุญาตค่ะ ปฏิบัติตามพระอาจารย์มา แล้วโยมรู้สึกว่า พระอาจารย์กับหลวงพ่อไม่ได้สอนเหมือนกัน

พระอาจารย์ –  ก็แล้วแต่คนจะว่า คนจะเข้าใจ ...บางทีพวกเราก็อาจจะเข้าใจท่านในลักษณะที่ว่าท่านจะเน้นเรื่องดูจิต แต่ท่านก็บอกเรื่องกายนี่ เข้าใจมั้ย


โยม –  ลักษณะ...คือโยมรู้สึกว่าพื้นฐานไม่เหมือนกัน

พระอาจารย์ – (หัวเราะ) ก็แล้วแต่ ...เขาเรียกว่าลางเนื้อ-ลางยา นะ

แต่ลักษณะที่เราสอนเน้นเรื่องกายเป็นหลักนี่...เพราะเรายืนหรือเรายึดอยู่บนฐานของศีลสมาธิปัญญา ไม่ออกนอกไตรสิกขา ไม่ให้ผิดพลาดจากไตรสิกขา

เพราะนั้นคำว่า "ศีล" ในความหมายของเรานี่ ไม่ได้แปลว่าข้อห้าม แต่มันแปลว่าปกติกายวาจา ...ถ้าเมื่อใดที่ไม่มีปกติกายวาจาอยู่ หมายความว่าไตรสิกขานี่ขาดตกบกพร่อง

จะรู้จิตอยู่ก็ตาม จะรู้ว่ามีกิเลสอยู่ก็ตาม จะละกิเลสได้ก็ตาม จะละจิตได้ก็ตาม...ถามว่าตรงนั้นน่ะมีตัวมั้ย มีกายอยู่มั้ย ...ถ้าไม่มีตัว ถ้าไม่มีกายอยู่...ตรงที่ละจิตได้ ละอารมณ์ในจิตได้นี่

ความรู้ความเห็นที่ได้นั้น ถือว่าเป็นความรู้นอกไตรสิกขา หรือว่านอกองค์มรรค ...มันไม่สมบูรณ์ มันเป็นความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ มันยังเป็นปัญญาที่ขาดตกบกพร่อง

พวกเราอาจจะไม่เข้าใจในความหมายคำสอนของอาจารย์ท่านก็ได้ ในการที่ว่าดูจิต...แต่ท่านไม่ทิ้งกาย ก็ได้ ในความหมายโดยรวมของการปฏิบัตินะ

แต่ถ้าเป็นเรานี่ เราจะปฏิเสธการดูจิตแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เข้าใจมั้ย ...คือที่ดูแต่จิตร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่เอาอันอื่นเลย ...แต่เมื่อใดนี่ ที่เรามาดูกายเป็นหลักร้อยเปอร์เซ็นต์


โยม –  คือรู้สึกว่าทำอย่างพระอาจารย์ว่า คือดูกายไปเรื่อยๆ พอมันตั้งมั่น มันจะเห็นจิตเอง

พระอาจารย์ –  ใช่


โยม –  แต่มันแตกต่างจากที่ให้ดูกายดูจิต คือมีอะไรให้ดูก็ดู ...แต่ว่าตอนนั้นจิตเรายังไม่ตั้งมั่น มันก็ดูออกไปข้างนอกทั้งหมด

พระอาจารย์ –  ก็นั่นน่ะ ทำไปก็เข้าใจเองว่าความหมายนัยยะที่ท่านสอนน่ะ จุดประสงค์ เป้าประสงค์น่ะคืออะไร

แต่คราวนี้ว่า ไอ้ตอนเริ่มต้นนี่ ถ้าไปเริ่มตรงที่ดูจิตมาก่อนเลยนี่ มันก็จะไม่เข้าใจอย่างที่โยมว่า ...มันก็ดูไปเรื่อยน่ะ ละอะไรก็ไม่ได้ ละความเป็นตัวเราของเราก็ไม่ได้จริงๆ

เพราะตัวเรา..ของเรา จริงๆ นี่...ไม่ใช่อยู่ที่จิตเป็นหลัก มันอยู่ที่กายเป็นหลัก ...ถ้าไม่มี "กายเรา" จะไม่มีจิตเราเลย เข้าใจมั้ย ...แต่ถ้าไม่มีจิตเรานี่ยังมี "กายเรา" อยู่นะ...ดูดีๆ

ถ้าดูโดยละเอียดจะรู้เลยว่า...จิตเรา ดับๆๆๆ  แต่ความรู้สึกที่ยังเป็นเรานี่ไม่หายไปไหนเลย ...มันฝังอยู่ข้างใน เข้าใจมั้ย ...แต่เมื่อใดนี่ ที่ไม่มี "กายเรา" จะไม่มีจิตเราออกมาเลย เห็นมั้ยว่ามันเป็นสิ่งที่เนื่องกันอยู่ 

เมื่อใดที่เรารู้ตัว รู้ที่ความรู้สึกเฉยๆ แล้วไม่สนใจอะไรเลยนี่ ...ให้สังเกตดูสิ จิตมันไม่ปรุงอะไรเลย มันไม่หาไม่ค้นอะไร มันจะไม่มีจิตเราออกมาเลย ...ตรงนี้ถึงเรียกว่ากายนี่เป็นเหตุของ “เรา” เป็นตัวแรก เป็นตัวใหญ่เลย

เพราะนั้น ถ้าไม่แก้ที่เหตุ มันก็ไม่จบเหตุจริงๆ  จิตเรานี่มันยังเป็นแค่ปลายเหตุอยู่ ...เพราะนั้นที่เรียกว่าพระโสดาบันท่านละกายเราจิตเรานี่ อย่าไปเข้าใจว่าไปละจากจิตเราก่อนนะ

จิตเรานี่มันละทีหลังกายเรา แต่ถ้าละกายเราได้เมื่อไหร่ จิตเรานี่ละได้พร้อมกัน ...แต่ถ้าไปละจิตเราก่อนนี่ จะละกายเราไม่ได้เลย ...ตรงนี้จะอยู่ใต้ร่มเงาของเราโดยที่ไม่รู้ตัวเลย เข้าใจมั้ย

สภาวธรรม สภาวะอะไร มันจะอยู่ใต้ร่มเงาของ "เรา" ตลอดเวลาเลย ...จึงจะเกิดภาวะที่ว่าหลงตัวเอง หลงสภาวธรรม ว่าดี ว่าได้ถึงนั้น ได้ถึงนี่แล้ว

ก็ตามหามรรคตามหาผล ตามหาขั้นตอน ตามหาขั้นภูมิกันอยู่ในนั้นแหละ  แข่งกัน ถามกันอยู่นั่นน่ะ ได้ถึงไหนแล้ว หือ ...ใครได้ล่ะ ใครมีล่ะ ใครเป็นล่ะ

ใครอยากได้ ใครอยากมี ใครอยากเป็นล่ะ ...ใครกำลังได้ ใครกำลังมี ใครกำลังเป็นล่ะ ...น้อมกลับมาดูหน่อยซิ มันมีตัวนี้มั้ย ...ถ้ามีตัวนี้อย่ามาพูดว่าโสดาบันนะ

แล้วอย่ามาพูดว่ากำลังเข้าสู่อนาคามรรค อนาคาผลนะ..ไม่มีทางเลยนะ ...เพราะอนาคามรรคอนาคาผลนี่ ไม่ใช่เรื่องของอรูปอย่างเดียวหนา ไม่ใช่ไปละแต่อรูปจิต หรืออรูปารมณ์นะ

ท่านละมาตั้งแต่กามราคะ ปฏิฆะ ...แล้วกามราคะมันอยู่ที่ไหน...ไม่ได้อยู่ที่จิต มันอยู่ที่กาย แล้วมันเนื่องด้วยรูปของกาย ...จะไปเอาแต่อรูปๆๆ ว่างๆ เหรอ  มันละไม่ได้ มันเป็นแค่จำลองขึ้นมาเอง

เพราะนั้นน่ะ ถ้าใครเป็นนักดูจิตแบบร้อยเปอร์เซ็นต์น่ะ  เราก็จะบอกว่า...กลับมาอยู่ที่หยาบๆ ดีไหม  กลับมาที่ภพชาติปัจจุบันไม่ดีกว่าเหรอ

ภพชาติปัจจุบันเป็นอะไร...เป็นคนใช่ไหม เป็นหญิงใช่ไหม อันนี้ตามสมมุติบัญญัติเลยนะ ...แล้วเราแจ้งในภพชาติปัจจุบันรึยัง หือ แจ้งในความเป็นคนรึยัง แจ้งในความเป็นชายหญิงรึยัง

ถ้ายังไม่แจ้งในความเป็นคน ถ้ายังไม่แจ้งในความเป็นชายเป็นหญิง ...หมายความว่านี่ยังไม่แจ้งในภพชาติปัจจุบันเลย จะไปหวังภพชาติที่เป็นอดีตอนาคต เป็นอนาคามรรคอนาคาผล เป็นโสดามรรค โสดาผลได้อย่างไร

ภพชาติปัจจุบันยังไม่รู้เลย ภพชาติปัจจุบันยังไม่ชัดเลย ภพชาติปัจจุบันยังไม่แจ้งเลย ภพชาติปัจจุบันยังไม่อยู่เลย ...จิตมันอยู่ไหน มันมาจากไหน แล้วมันไปอยู่ตรงไหน มันไปหาอะไร

แล้วมันไปมีอะไรได้ยังไง มันเป็นภพปัจจุบันไหม มันไปภาวนาอยู่ในอดีต มันไปภาวนาอยู่ในอนาคต มันไปภาวนาอยู่ในที่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันไปหาความเป็นจริงในอะไรก็ไม่รู้

ทั้งๆ ที่ว่า ตัวศีลน่ะเป็นตัวยึดโยงกาย เป็นตัวยึดโยงปัจจุบัน เป็นตัวยึดโยงภพชาติปัจจุบันของทุกคน ...ถ้าไม่แจ้งในปัจจุบันนี่ ไม่ต้องถามว่าจะแจ้งในองค์มรรค แจ้งในขันธ์ห้าไหม

แค่ปัจจุบันกาย ปัจจุบันศีลนี่ ยังมองข้าม ยังก้าวข้าม ยังไปหาธรรมอื่น ธรรมนอก ...โดยเข้าใจว่าธรรมนั้นละเอียดกว่า ธรรมนั้นเร็วกว่า ธรรมนั้นดีกว่า ธรรมนั้นเหมาะแก่จริต...จริตใคร หือ

เออ จริตของกิเลสน่ะสิ คือความพอใจของ "เรา" ...เอา "เรา" มาเป็นตัวภาวนามันจะได้อะไร...ก็ได้แต่กิเลสน่ะสิ ความรู้ความเห็นของเราทั้งนั้นน่ะ ...แต่ไม่ใช่ความจริง

เพราะนั้นความเป็นจริงก็คือต้องมาแจ้งในกายปัจจุบัน คือภพชาติที่เป็นวัน ณ เวลา ณ เดี๋ยวนี้ ...ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่บอกว่า ศีลนี้เป็นรากฐาน ศีลนี้เป็นที่ตั้งเป็นที่รองรับของธรรมทั้งหลายทั้งปวง

เคยได้ยินบ้างไหม ศีลนี่เหมือนแผ่นดิน ...มันหนีไม่ได้เลย จะหนีกายนี้ไม่ได้ จะทิ้งกายนี้ไม่ได้เลย จะละเลยกายนี้ไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่แจ้งในกาย

ถ้าโยมแจ้งว่าเป็นคน ถ้าโยมแจ้งว่าเป็นชาย-หญิงจริงหรือเป็นชาย-หญิงไม่จริง เออ ค่อยว่ากันใหม่ ...แต่ถ้ายังบอกว่าเราเป็นหญิง แล้วยังเชื่อว่าเราเป็นผู้หญิงอยู่นี่...จบ ยังไปไหนไม่ได้ แปลว่ายังไม่แจ้งในกาย

จะไปดูจิต จะไปดูอะไรมหัศจรรย์พันลึก จะไปดูอารมณ์ จะไปดูสภาวธรรมที่เหมือนกับในตำราเด๊ะๆๆๆ ญาณขั้นนี้ขั้นนั้นขั้นนู้น ไปไม่ได้จริงอ่ะ ...ก้าวข้ามกายไม่ได้ ก้าวข้ามอะไรไม่ได้เลยนะ


(ต่อแทร็ก 13/32)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น