วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/33


พระอาจารย์
13/33 (570405D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง
5 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  เราไม่ได้แข่งเถียงกับใคร เราไม่ได้สอนเพื่อจะไปขัดแย้งใครนะ แต่เราสอนนี่ ในความที่ยืนยัน...ยืนยันในศีลสมาธิปัญญาที่แท้จริง

อุบายวิธีการน่ะ มันเยอะแยะมากมาย อุบายนี่มากมาย แต่หลักการน่ะมีหลักการเดียว ...อุบายทั้งหมดนี่จะต้องมาลงที่หลักการนี้ให้ได้ คือหลักการศีลสมาธิปัญญา หลักการมัชฌิมาปฏิปทา

ถ้าอุบายนั้นพาออกนอกหลักการ...ผิด ...ถ้าใช้อุบายภาวนา แล้วมันไม่เข้าสู่หลักการ หรือว่าหลักของศีลสมาธิปัญญาหรือหลักมัชฌิมาปฏิปทาได้...ทาบทากันได้โดยสนิทใจนี่...ผิด

แต่ถ้ามันทาบทากันได้สอดคล้องตรงช่องตรงร่องของมรรค...นี่จะเรียกว่าอุบายธรรม ...การภาวนาโดยใช้อุบายนั้นจะเรียกว่าเป็นอุบายธรรม เพื่อให้เข้าสู่ธรรมตามความเป็นจริง 

เพื่อให้เข้าสู่ความเป็นจริงในธรรม เพื่อให้เข้าสู่ความเป็นจริงของศีลสมาธิปัญญา เพื่อให้เข้าสู่ความเป็นมัชฌิมาปฏิปทา เพื่อจะให้ดำรงองค์มรรค จนถึงที่สุดของมรรค

เพราะฉะนั้น เราจะไม่ขัดแย้งกับอุบาย..ถ้าอุบายนั้นเป็นอุบายที่ให้เข้าสู่หลัก ...เพราะนั้นอุบายนี่ มันมีตั้งแต่สติปัฏฐาน ๔ มันมีตั้งแต่กัมมัฏฐาน ๔๐ กอง มันมีตั้งแต่กสิณ ๑๐ ...พวกนี้เป็นอุบาย

แต่อุบายเหล่านี้ ถ้าใช้ไม่เป็นนี่ ...ก็เรียกว่าไม่ฉลาดในอุบายเมื่อไหร่ การเกิดการตายก็จะเกิดนอกองค์มรรค จะไปเกิดตายนอกองค์มรรค มันจะพาออกนอกองค์มรรค

เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยสงฆ์ เป็นผู้น้อมให้อุบายนั้นน่ะ กลับลงมาสู่หลัก ...ถึงจะไม่ได้อรรถได้ธรรมได้ภูมิปัญญาขั้นอริยะ ก็ยังถือว่าได้กลับมาตายเกิดๆ อยู่ในมรรค

ยังดีกว่าไปตายเกิดนอกมรรค..ด้วยอุบาย ...มันตายไม่ค่อยดีน่ะ  ถึงจะไปเกิดดีก็ตายไม่ดีล่ะวะ เพราะมันจะไปตกระเหเร่ร่อน อยู่ไปแบบเพลิดเพลินเจริญใจกับโลก

หรือไม่ก็หลงเพลินไปกับสภาวะจิตสภาวธรรมที่มันมีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มหัศจรรย์น่าลุ่มหลง พิสดารพันลึก วิเศษมหัศจรรย์ ...วงเล็บว่า...ใต้ร่มเงาของ “เรา” ตลอดเวลา

อุบายไหนที่เข้ามาสู่หลักได้น่ะ..ใช้ได้ ไม่ว่า ...และถ้าใครใช้อุบายแล้วมาหาเรา แล้วมันพยายามจะทะลุทะลวงออกไปข้างนอกข้างหน้า เราก็จะดึงกลับ น้อมกลับ ถีบให้มันกลับ ...นี่คือหน้าที่ของเรา

มันจะได้ตายดี...ตายในมรรคนี่ตายดีนะ มีสุคติเป็นที่ไป อย่างที่เราสอนที่เราบอกว่าให้จับกายไว้ตอนตายนั่นแหละ..สุคติจะเป็นที่ไป อย่างต่ำก็เป็นคน อย่างสูงก็เป็นคน 

ก็ต้องการให้เป็นคน จึงไม่ให้ไปเกิดไปตายที่อื่น เข้าใจมั้ย  เพราะในความเป็นคนนี่มันครบ  ครบทั้งขันธ์ห้า ครบทุกขันธ์ห้า ...ยกเว้นพวกบ้าใบ้เสียจริต มีขันธ์ครบแต่ไม่สามารถรู้ขันธ์ได้ด้วยตัวเอง 

เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ในมรรค หรือปรารถนาในองค์มรรคอยู่ และกำลังประกอบกระทำอยู่ในมรรคนี่...ตายดี คือตายแล้วมาเกิดเป็นคน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นโสดาบันก็ตามเถอะ

นี่ ที่ให้เป็นคน เพราะในความเป็นคนมันครบ...ขันธ์ห้ามันครบ มันไม่ขาดเลย ...และขันธ์ห้านี่มันคลุมหมดสามโลกธาตุ ...เทวดาก็มีในนี้ เปรตก็มีในนี้ อสุรกายก็มีตรงนี้ เดรัจฉานก็มีอยู่ตรงนี้ 

พรหมจนถึงอรูปพรหมก็มีอยู่ในนี้ แม้กระทั่งนิพพานก็มีอยู่ในนี้ ในขันธ์ห้านี่...ครบไหมเล่า ...การบ้านก็อยู่ตรงนี้..ก็มาทำต่อ คือมันเคยทำกันมาแล้ว แต่มันยังทำไม่จบ มันยังดูไม่ตลอด ไม่ทั่วในกองกาย

แล้วระหว่างที่มันยังดูไม่ทั่วในกองกาย มันเอาเวลาไปทำอะไร หือ ...ดูคนนั้นดูคนนี้ ดูเรื่องราวในโลก ดูอดีตดูอนาคต ดูการเกิดการตายของคนนั้นคนนี้ ไปดูจิตคนอื่น ดูทำไม

เนี่ย การงานจึงคั่งค้าง เข้าใจคำว่า อนากูลาไหม มันก็ไม่แล้วสักทีหนึ่งน่ะ ...เพราะนั้นถ้าเข้าใจ แล้วเชื่อในศีลสมาธิปัญญาตามที่เราว่าหรืออธิบายขยายความนี่ ...ก็มาทำการบ้านเสียให้จบ

โจทย์แรกน่ะ หน้าแรก บทแรกน่ะ บทที่ ๑ ...แล้วมันจะได้ขึ้นบทต่อไป มันมีอยู่ ๕ บท..ขันธ์ ๕ ...แต่บทที่ ๑ นี่...กายนี่ กี่ชาติแล้ว หือ  เอาเวลาไปเตร็ดเตร่ระเหเร่ร่อนอยู่ที่ไหนกัน

แล้วจะเอาการบ้านมาส่งครูเหรอ อย่างนี้ครูก็ให้ F น่ะ ...อย่าหวัง A+ อย่าหวัง B+ อย่าหวัง A- , B- , C มีแต่  F, F, F, F ...ซ้ำชั้น นี่แหละ ทำไมถึงมาเกิดตายๆๆ เป็นคนนี่ มัน F, F, F

แล้วยังมาเกิดเอาเวลาไปทำอะไรกันอีก ไปหาธรรมที่ไหน ไปดูธรรมอะไร ...แล้วมันจะก้าวข้ามก้าวพ้นการเกิดมาเป็นคนไหม สุดท้ายมันก็ต้องมาลงร่องคนนี่

ไม่ว่าเทวดาอินทร์พรหม ไม่ว่าจะผู้มีวาสนาบารมีขนาดไหน ไม่ว่ามันจะเข้าใจว่ามันได้มรรคได้ผลไปแล้ว ยังไงก็เป็นคน เป็นชายเป็นหญิง เป็นตัวเราของเราอยู่อย่างเงี้ย

ก็เป็นดินน้ำไฟลมที่มาบอกว่าเป็นตัวเราของเราอย่างยิ่งยวดนี่ มันหนีไม่พ้นหรอก ก้าวข้ามไม่พ้นหรอก ...มันก้าวข้ามภูเขาที่เราบอกว่าสูงเสียดฟ้านี่ไม่ได้หรอก

มีแต่มรรค ศีลสมาธิ ไตรสิกขา มัชฌิมาปฏิปทาเท่านั้น  จึงจะเป็นตัวเจาะทะลวง ทะลายภูเขาหรือกำแพง...ที่มันหุ้มห่อ ปกคลุม ปิดบัง ขันธ์ห้าตามความเป็นจริง 

มันปิดบังธรรมทั้งหลายทั้งปวงตามความเป็นจริง สรรพสิ่งที่แวดล้อมขันธ์ตามความเป็นจริง สามโลกธาตุที่มันเป็นที่อยู่ที่ตั้งของขันธ์ห้าตามความเป็นจริง อนันตาจักรวาลตามความเป็นจริง

ถ้ามันเปิดหรือทำลายกำแพงตัวนี้ลงได้...ทุกอย่างนี่ ราบหมด เรียบหมด ไม่ต้องไปขึ้นเขา ไม่ต้องขึ้นยอดเอเวอเรสท์ ก็มองเห็นได้จากที่ยืนอยู่บนพื้นนี่แหละ

มันจะไม่มีเงา มันจะไม่มีอะไรมาบังเลย ...มันจะรู้เห็นโดยตลอด มดไต่ไรตอม แมลงบิน แมงหวี่แมงวัน  มันไม่มีอะไรมาบัง มันสว่างหมดในขันธ์ รอบขันธ์

นี่ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วจะไปเชื่อใคร จะไปเชื่ออาจารย์องค์ไหน นอกจากพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อาจารย์ใหญ่ ท่านวางธรรมหลักมาแล้ว ธรรมจักร ธรรมะที่ท่านวางไว้เป็นปิฎก

โดยย่นย่อก็แค่นี้...ศีลสมาธิปัญญา สำหรับผู้ภาวนา ...ธรรมบทอื่นมันเป็นสัพเพเหระสำหรับผู้ครองเรือน สำหรับผู้ที่จะปรารถนาที่จะไปท่องวนอยู่ในภพภูมิทั้งสาม เพื่อหลีกเร้นภพภูมิที่ต่ำ

แต่ว่าธรรมะของผู้ปฏิบัติที่จะมุ่งตรงตัดภพน้อยและใหญ่ ภพไกลและใกล้ ภพละเอียดและหยาบ ก็คือความไม่มีภพและชาติ โดยย่นย่อมันก็มีหลักศีลสมาธิปัญญา อริยสัจ ๔ มัชฌิมาปฏิปทา แค่นี้แหละ

เพราะนั้นถ้าเอาเวลาในช่วงชีวิตที่มีกายมีขันธ์อยู่นี่ มาทำให้มันเต็มที่เต็มฐานกับการทำการบ้าน บทเรียนที่ ๑ ...มันเข้าบทเรียนที่ ๑ หรือยังล่ะ ...ก็ยัง อ่านแต่คำนำ

มัวแต่อ่านแต่คำนำกับประวัติคนเขียน ใครเป็นคนรวมเล่ม ใครเป็นคนพิมพ์ พิมพ์สำนักไหน แล้วมันพิมพ์สวย-ไม่สวย ตัวหนังสือมันน่าอ่านรึเปล่า ...มันยังไม่ได้เข้าบทที่ ๑ เลย ละล้าละลังๆ กันอยู่

แต่ความตาย ความเจ็บ ความไข้ ความแก่ มันไม่ละล้าละลังนะ มันแฝงอยู่ในขันธ์ทุกวินาที ทุกย่างก้าว ทุกลมหายใจเข้าออก ...แล้วยังจะมัวแต่อ่านบทนำอยู่นั่น

บทที่ ๑ เขาเขียนว่ายังไง ทำไมไม่อ่าน ทำไมไม่อ่านกายให้แจ้ง ทำไมไม่อ่านกายให้จบ ทำไมไม่อ่านกายให้ตลอด สงสัยอะไรอยู่ วิจิกิจฉาน่ะ ท่านถึงบอกให้ละซะ ว่านี้จะช้า นี้จะไม่ใช่ นี้จะไม่ถูก 

นั่นน่ะบทนำ อารัมภบท เยิ่นเย้อ มัวแต่อ่านอารัมภบทอยู่ยังไม่จบอารัมภบทเลย...ตายก่อน ...ยังไม่ทันตายก็แก่ไม่มีแรงภาวนาแล้ว มาต่อสู้กับทุกขเวทนาโรครุมเร้า

ไอ้ตอนหนุ่มๆ สาวๆ นี่ มัวแต่อ่านบทนำอยู่นั่นน่ะ อ่านที่มาที่ไปของประวัติคนแต่ง หรือไม่ก็ไปอ่านเรื่องราวประกอบที่แต่งแต้มไว้ เออ มันคงได้มรรคได้ผลแหละมั้ง

อย่าสงสัยในศีล อย่าสงสัยในสมาธิ อย่าสงสัยในปัญญา  อย่าเห็นว่า..อย่าเข้าใจว่า ไม่พอ ไม่ใช่ ...เชื่อไว้ก่อน สร้างศรัทธาในศีลสมาธิปัญญาก่อน  ถ้าได้ทำแล้วมันก็ค่อยๆ ซึมซาบๆๆ เอง

เพราะนั้นไอ้จิตที่มันออกไปสงสัย นั่น...ละซะ  มันจะออกไปเทียบเคียง...ละซะ  ออกไปหาว่าถูกกว่าผิดกว่า...ละซะ... เข้าใจมั้ย ตัวนี้วิจิกิจฉา...ละซะ

เพราะนั้น ให้มันเหลือแต่เนี่ยกับเนี่ย...เนี่ยคือกาย เนี่ยคือรู้  ให้มันเหลือแค่เนี่ยกับเนี่ยพอ ...เนี่ยคือการบ้านที่จะต้องส่ง ...ไม่ใช่ส่งเรา ส่งพระพุทธเจ้า

เพราะนี่คือ messenger  เรานี่เป็นแค่ messenger...ผู้ส่งข่าว ผู้เอาความหมายของธรรมมาขยายความ ...ตัวประธานใหญ่ท่านอยู่ที่นิพพาน แล้วก็เราจะต้องส่งข้อความนี่ให้ถึง

ก็..“ทำไมสายมันขาดวะ” ไปไม่ถึง ถึงแต่ messenger ... messenger ก็เหนื่อย เทียวไปเทียวมา “ผมบอกมันแล้วครับ มันเถียงครับ แล้วจะทำยังไงกับมันดี แม้แต่...อย่างนี้ก็บอกแล้วครับ” 

พอดี messenger ตาย ...แต่ธรรมนี้ไม่ตายนะ ศีลสมาธิปัญญาไม่มีวันตายนะ ...แต่มันจะถูกปกคลุม แล้วขาด messenger นะ ผู้สื่อสาร ผู้ส่งสารที่ตรงไปตรงมา

สงฆ์นี่ สังฆะนี่ เป็น messenger ของพระพุทธเจ้านะ เป็นธรรมทายาทโดยตรง ...แม้จะไม่ได้ออกมาจากสายเลือดเนื้อเดียวกัน แต่โดยธรรม เป็นธรรมทายาทโดยตรง

เมื่อไม่มีผู้สื่อสารโดยตรงนี่ สารนี่จะถูกตีความ แปลความหมายใหม่ ...ไอ้ที่มันสงครามๆ กลียุคกันนี่ ก็เพราะว่ามันตีความผิด เขาบอกว่าให้ผูกสัมพันธมิตรกับขันธ์ห้าเฉยๆ 

นั่นมันบอกว่า ตีเลย ฆ่าเลย...จบ แปลข่าวสารผิดนี่จบเลยนะ ...แล้วจะทำยังไง messenger ตายหมดแล้ว หรือมีอยู่ก็อยู่ในป่านู่น ไม่ได้ตั้งคัดเอาท์อยู่ข้างถนนนี่ ...ยากขึ้นเรื่อยๆ นะ

ทั้งๆ ที่ศีลสมาธิปัญญาไม่ใช่ของยาก แต่การเข้าถึงศีลสมาธิปัญญาแบบ...เต็มจิตเต็มใจน่ะ อันนี้แหละยาก ...และการเข้ามาหา messenger ก็ไม่ใช่เข้ามาหาได้ง่ายๆ บ่อยๆ

คือมันประเภทต้องตอกย้ำน่ะ คือไอ้หัวตะปูนี่มันไม่ค่อยกินเนื้อไม้ ตอกโป้งๆๆ แล้วก็คาไว้  ไม้ก็งอกงามแล้วก็ดันตะปูขึ้น ...เคยตอกตะปูใส่ต้นไม้มั้ย เดี๋ยวมันก็ดีดขึ้นมาอีก มันไม่จม

เนี่ย กิเลสมันงอกงามมากขึ้น มากกว่า ...มันก็ผลักดันให้ออกนอกศีลสมาธิปัญญาโดยไม่รู้ตัว หรือออกโดยเจตนาก็ได้ เห็นมั้ย มันออกจากศีลสมาธิปัญญาได้สองนัยยะนี่

หนึ่ง...ไม่รู้ตัว  สอง...โดยเจตนาเลย ...แล้วเข้าไปอาศัยอุบาย โดยไปหมายว่าอุบายนั้นน่ะคือหลัก ว่าถ้าไม่ได้อุบายนั้น ถ้าไม่ได้เป็นไปตามอุบายนั้น แปลว่าจะไม่ใช่หลัก จะไม่ได้ถูกหลัก

เยอะแยะ นักภาวนาสมัยนี้ ติดอุบายนี่เยอะ  แล้วติดนาน ติดอย่างเนิ่นนาน แล้วติดแบบแนบแน่น แล้วติดแบบไม่ยอมถอน ...จะบอกจะเตือนยังไงก็ยากเย็น

Messenger ก็บอกพระพุทธเจ้า “ผมบอกมันแล้วครับ มันไม่ถอน ทำยังไงดี” ท่านก็คงว่า..เออ ไม่ต้องทำยังไง ช่างหัวมัน สุดท้ายแล้ว ต้องอย่างงั้นแล้ว ...จะเจออย่างงั้นไหมเล่า

คือการชี้แจงในองค์มรรคนี่ การชี้แจงให้ตรงต่อมรรค ให้ตรงต่อศีลสมาธิปัญญา จริงๆ นี่ง่ายนะ เราไม่ต้องใช้แรงเลยนะ ...แต่ไอ้ที่เหนื่อยนี่เพราะมันไม่ยอมถอน อันนี้ล่ะเหนื่อย

ซึ่งการอธิบายนัยยะของศีลสมาธิปัญญานี่พูดไม่กี่ประโยคน่ะ มึงไปได้ กลับไปทำ นั่น มันไม่มีนัยยะอะไรมาก ...แต่ที่ต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลทั้งภายนอกและภายในนี่ ก็เพื่อยื้อยุดกับความเชื่อหรือทิฏฐิ

มันเป็นทิฏฐิภายในของสัตว์ หรือปุถุจิต หรือผู้หนาแน่น หมักหมมด้วยกิเลสอวิชชา ความเห็นผิด ซึ่งลักษณะความหมักหมม ความหนาแน่นของปุถุจิตนี่ จะมากขึ้นเรื่อยๆ ตามยุคเลย 

เหนื่อย เหนื่อยขึ้น messenger นี่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มันยังไม่รู้เลย...พูดมายี่สิบสามสิบปีแล้วก็ยังว่า “ศีลอยู่ไหนครับจารย์” เอ๊า มันเอาหูฟังหรือหัวแม่ตีนฟังกันวะ ยากเลย

จริงๆ น่ะ ความหมายจริงๆ ไม่ได้ยาก ...แต่มันไปพิจารณาจนมันยากขึ้นมาเอง  ความเห็นนี่มันชักนำออกไป จึงเกิดความลบหลู่ จึงเกิดความปรามาสในศีล..โดยไม่รู้ตัวเลย

แล้วตัวลบหลู่ ตัวปรามาสศีลนั่นแหละ คือตัวที่ขัดขวางองค์มรรค ...เพราะมันไม่เข้าไปน้อมนำ ไม่เข้าไปปฏิบัติต่อองค์ศีลด้วยความเคารพ และนอบน้อม

เวลาเราเคารพครูบาอาจารย์ หรือคนที่เรานับถือน่ะ เรานอบน้อมอย่างไร ...ก็ให้อย่างนั้นน่ะต่อกายของตัวเอง ให้เคารพนอบน้อม ให้อยู่ด้วยความระมัดระวัง สำรวมกับกาย ...นี่เขาเรียกว่าสำรวมในองค์ศีล

นึกดู น้อมดูว่า เวลาเราเข้าใกล้ครูบาอาจารย์ เราเข้าใกล้ผู้หลักผู้ใหญ่ เราเข้าไปด้วยความเคารพนอบน้อมอย่างไร ...ให้นอบน้อมต่อกายอย่างนั้น ลักษณะอย่างนั้นน่ะ

เหมือนกับกายตัวเองเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นผู้มีพระคุณ เป็นผู้ที่ชี้เป็นชี้ตาย เป็นผู้ที่ให้ผลประโยชน์อย่างสูงสุด ...นี่ ต้องนอบน้อมต่อศีล ต้องนอบน้อมต่อกายในระดับนั้นแหละ

ผู้ที่เข้าไปนอบน้อมต่อกายต่อศีลในระดับนั้นน่ะ จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่เข้าถึงศีล ...ผู้ที่เข้าถึงศีลนี่คือผู้ที่ไม่ตกอบายแล้ว ปิดอบายแล้ว ...คำว่าปิดอบายนี่หมายความว่า ไม่เกิดมาต่ำกว่าเป็นมนุษย์

แต่ถ้าปิดอบายโดยสิ้นเชิง นี่ หมายความว่า จะไม่เกิดมานอกจากความเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ ๓ ชาติ ๑ ชาติ ก็ว่าไป ...สัตตักขัตตุง โกลังโกละ เอกพีชี

ให้ยืนหยัดไว้ อย่าไปสงสัยในธรรม ...ท่านเรียกว่าวิจิกิจฉา ท่านเรียกว่าอุธัจจะกุกกุจจะ รู้จักมั้ย นิวรณ์รู้จักมั้ย นิวรณ์เป็นตัวกางกั้น คือกิเลสที่กางกั้นสมาธิ หรือจิตหนึ่งหรือว่าจิตตั้งมั่น

ถ้าเรายังละกิเลสหยาบหรือที่เรียกว่านิวรณ์ ๕ นี่ไม่ได้ มันก็จะมีแต่ราคะ ปฏิฆะ ฟุ้งซ่าน มึนซึม ลังเลสงสัย อยู่อย่างนี้ ...๕ ตัวนี้ นี่คือนิวรณ์ ที่มันกางกั้นขวางจิตที่จะรวมเป็นหนึ่ง คือสมาธิ...สัมมาสมาธิ



(ต่อแทร็ก 13/34)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น