วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/32


พระอาจารย์
13/32 (570405C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง
5 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  วันนั้นเราก็บอกแล้วว่า พวกเราเกิดมานี่...เหมือนเราเกิดมาอยู่ในหุบเขาที่มีเขาสูงเสียดฟ้าห้อมล้อมบดบังแสงอาทิตย์ อยู่ใต้ร่มเงาของความมืดมิดของขุนเขา ทุกสัตว์บุคคลเลย

ก็เรียกว่าเกิดมาใต้เงาของความมืดมนอนธการน่ะ ...พออ่านธรรม ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม แล้วเขาบอกว่าบนยอดเขานั่นแหละ ขึ้นไปให้ถึง แล้วจะเห็นฟ้าใส ฟ้าเปิด แสงสว่าง นกกาบินวน ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

นั่นแหละ จะดูจิต จะนั่งสมาธิให้สงบ จะใช้อุบายวิธีการใด ก็เพื่อให้ถึงยอดนั้น จะได้เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ..คือสภาวะทั้งหลายทั้งปวง ที่ว่าดี ที่ว่าเลิศ ที่ว่าเยี่ยม ที่ว่ายิ่ง ที่ว่าสูง

แล้วไง...ได้ดูแล้วไง ได้อยู่บนนั้นแล้วไง ได้เกิดแก่เจ็บตายอยู่บนนั้นแล้วไง...ภูเขาก็ยังอยู่ ...หรือถ้าไม่ได้ไม่ถึง ก็ร่วงไถลลื่นไถลลงมาอยู่ใต้ร่มหุบเขาใหม่ ก็แค่นั้น

ไอ้ที่เรียกว่าภาวนาเสื่อมๆ ได้ๆ...ได้ๆ เสื่อมๆ น่ะ แล้วก็เปลี่ยนช่องทางว่า..เอ๊ะ ไม่ถูกจริต หาช่องทางว่า ร่องนี้มั้ง เขามันไม่ชันเท่าที่เคยทำตรงนั้น มันปีนขึ้นไปได้สูงกว่าตอนที่เราทำตรงนั้น ...นี่เรียกว่าอุบาย

เพื่ออะไร ...ก็เขาบอกว่าบนนั้นฟ้าใส อากาศโปร่ง โล่ง ไม่มีหมอกมัว ...ก็ตะเกียกตะกายกันขึ้นไป เดี๋ยวก็ตกบ้าง หิวก็ลงมากินใหม่บ้าง เพราะบ้านมันทั้งสามโลกธาตุอยู่ในหุบเขานี่ ...ยังไงๆ ก็ไม่พ้นร่มเงาของขุนเขาใหญ่

แต่มันเข้าใจว่า ถ้าไปขึ้นแล้วไปตายอยู่บนนั้นน่ะ แล้วรับรองเลยว่าจะลอยขึ้นฟากฟ้าเข้านิพพานเลย นั่น...เดี๋ยวก็จะไปเจอสภาวะเทวดาตกสวรรค์ แล้วก็ตกลงมาในหุบเขานี้ 

เพราะหุบเขานี้เป็นที่รองรับนั่นแหละ พวกที่ต้องการสภาวะดีๆ สภาวะเด่นๆ สภาวะที่คนอื่นเขาไม่รู้ไม่เห็น แล้วก็จะได้บอกว่า ฉันไปเคยเห็นมาแล้ว ฉันได้มาแล้ว ฉันถึงมาแล้ว

มาคุยกัน นี่ตอนที่พูดก็อยู่ในร่มเงาของขุนเขานั่นแหละ แต่อวดว่าผ่านมาแล้ว ...เออ แล้วไง ผ่านมาแล้ว แล้วไง หือ ก็ยังอยู่ในขุนเขานั่นแหละไอ้ระหว่างที่พูดน่ะ

ขุนเขาใหญ่ที่ทอดเงาทะมึนมืดมิดปกคลุมตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย นี่ ขุนเขาใหญ่นี้คือ “เรา” คือกายเรา คือความรู้สึกเป็นตัวตนของเรา ...มันหนีร่มเงานี้ไม่ได้เลย หนีไม่พ้นเลย...ด้วยวิธีการปฏิบัตินอกองค์มรรค

เขาปฏิบัติกันมาก่อนพระพุทธเจ้าอีก วิธีการเหล่านี้ เคยได้ยินชื่อพรหมฤาษีบ้างไหม เคยได้ยินชื่อเนวสัญญานาสัญญายตนะบ้างไหม เคยได้ยินชื่อนิรวารไหม เคยได้ยินอสัญญีพรหมไหม

กระทั่งอาจารย์ของพระพุทธเจ้า..อาฬารดาบส อุทกดาบส..คนหนึ่งสมาบัติ ๗ อีกคนสมาบัติ ๘  ...พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจะไปเทศน์สอน ถึงกับอุทานว่า “ฉิบหายแล้ว” ตายก่อนท่านบรรลุธรรม ๗ วัน

นั่นแหละ สององค์นี่แหละ สุดยอดเลย สุดยอดของอรูปฌาน อรูปพรหม ...คือถ้าว่าปีนป่ายภูเขาก็เรียกว่าไปตั้งไปปักเต๊นท์ กางเต็นท์อยู่บนยอดหิมาลัยน่ะ ยอดเขาที่สูงที่สุดของโลก ประมาณนั้น

เนี่ย พระพุทธเจ้าจึงถึงกับอุทานว่า...ฉิบหายแล้ว ....ก็เป็นพรหมที่แทบจะไม่มีอายุน่ะ อานิสงส์ขนาดนั้นน่ะ ไม่มีรูปไม่มีนามเลยน่ะ แทบจะไม่มีอายุเลยนะนั่นน่ะ

เห็นมั้ย นี่ล่ะนักดูจิต นักทำจิตนี่ มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว และแข่งกันทำจนไม่รู้ว่าจะกี่สำนักแล้ว ...พระพุทธเจ้าก็เรียนมา ก็อาจารย์ของท่านทำไมท่านจะไม่เรียน ทำไมท่านจะไม่ได้สมาบัติ ๗ สมาบัติ ๘ 

แต่ท่านก็เอะใจว่า...ไม่น่าจะใช่... เพราะท่านยังตรงต่อตัวเอง เข้าใจมั้ย ตรงต่อตัวเองว่า..เอ๊ะ ทำไมมันยังรู้สึกว่า “เราเป็น” “เราได้” อยู่ล่ะ  เนี่ย ตรงนี้ที่มันตะขิดตะขวงใจท่าน 

ซึ่งรับรองแล้วนะ...อาฬารดาบส อุทกดาบสนี่รับรองแล้วนะ..ว่าสุดแล้ว ที่สิทธัตถะเรียนมานี่ ทำได้เท่าเราแล้ว เรียกว่า “นิรวาน” แล้ว เป็นหนึ่งเดียว เป็นอาตมันเดียวกันหมดกับสามโลกธาตุแล้ว เรียกว่าจบแล้ว ...นี่รับรองด้วยนะ

แต่วิสัยของพุทธะ วิสัยของโพธิญาณ วิสัยของผู้ที่จะตรัสรู้ขึ้นนี่...ท่านเอะใจ ท่านมีความเอะใจ ...นี่ถ้าเป็นพวกเรานี่เสร็จเลย กู ไม่ภาวนาต่อแล้ว จบๆ The end

พระพุทธเจ้าไม่จบ ท่านตรงตัวเอง ท่านรู้สึกเลยว่า ไม่น่าจะใช่ ...นั่นแหละ ท่านก็ออกมาจากสำนักอาฬารดาบส อุทกดาบสล่ะ ก็ขอลา ...แล้วมาบำเพ็ญทุกรกิริยา

เพื่อจะมาทรมานให้เห็นที่สุดของ “เรา” ว่ามันอยู่ตรงไหน จะได้ทำลาย “เรา” นี่ได้ ...ที่ผ่านมามันสุขจนเกินแล้ว จนแทบจะหา “เรา” ไม่เจอเลย ...ก็ให้มาเจอทุกข์ซะหน่อย

แล้วจะได้จับไอ้ตัว “เรา” ชัดๆ นี่ จะได้ทำลายให้มันหมด ...เพราะมันตะขิดตะขวง ไอ้ความรู้สึกเป็น “เรา” นี่ ทำยังไง ถึงจะออกจากมันเนี่ย ออกจากภพชาติปัจจุบัน คือกายและขันธ์

แล้วที่ท่านบำเพ็ญทุกรกิริยานี่ เรียกว่าเกินกว่ามนุษย์ใดๆ ในสามโลกธาตุนี่ จะทนทานได้ ...ท่านทนได้น่ะ ไม่ตายด้วย แค่ท่านสลบ ...นี่เกินกว่าทุกข์ในขันธ์นี่จะมีน่ะ

คือถ้าเป็นพวกเรานี่ตายแล้ว แค่ครึ่งวัน หนึ่งชั่วโมง..ตาย ...ก็กลั้นลมหายใจเข้าออก กดพระทนต์แน่นจนเลือดออก ทุกข์ไหม ใครมันจะทนได้ล่ะ มันทุกข์จนสุดที่ขันธ์ห้านี่จะทานทนได้ 

แต่ “เรา” ก็ยังอยู่ ...นี่ท่านถึงรู้ว่าไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่วิธีอีกแล้ว ...ไอ้แบบสุดหล้าฟ้าดินเกินยอดหิมาลัยก็ไปมาแล้ว ก็ยังไม่ใช่ ก็ยังมี “เรา” ไปนั่งตีขิมบนนั้น...มันก็ไม่ใช่อ่ะ 

เมื่อไม่ใช่แล้วทำยังไงดี นี่ โอ้ย บำเพ็ญมาขนาดนี้ ถ้าเป็นระดับพวกเรานี่ก็ตั้งสำนักแล้ว สั่งสอนประกาศธรรมแล้ว มีใครทนได้ทำได้อย่างนี้บ้าง การรับรู้อภิญญาณนี่มากมายมหาศาล

ในระดับสมาบัติท่านน่ะ รู้วาระจิต รู้ได้หมดอดีตอนาคตการเกิดการตายของสัตว์บุคคลรู้ ก็รู้ก่อนเป็นพระพุทธเจ้าด้วย บอกให้ อภิญญา ๕ ...แต่ท่านตรงต่อตัวเองมาก ว่าไม่ใช่เป้าหมาย ยังไม่ถึงเป้าหมาย 

ท่านก็เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ออกจากที่ประทับแล้วเดินใคร่ครวญในธรรมไป ก็ไปเห็นร่มไม้ริมแม่น้ำเนรัญชรา ตอนนั้นออกจากทุกรกิริยาเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็นั่งใคร่ครวญทบทวนอยู่

ระหว่างที่นั่งทบทวนอยู่นั่น ก็ได้ให้มีนางสุชาดาจะทำบุญบวงสรวงใหญ่ให้มีรูปสมบูรณ์พูนสุข จะหาที่เลี้ยงหาที่บวงสรวง ไปปะท่านสิทธัตถะนั่งคิดใคร่ครวญสงบเงียบขรึมสำรวม

ก็เข้าใจว่านี่เป็นเทวดา เกิดศรัทธาปสาทะ ก็มาเจรจาไต่ถาม...รู้ว่าเป็นนักบวชกำลังบำเพ็ญภาวนา ดูท่าน่าเลื่อมใส จะขอทำบุญเอาอาหารมาถวาย พระพุทธเจ้าก็รับ

นางสุชาดาก็ดีใจ รีบกระวีกระวาดกลับไปกวนข้าวมธุปายาส เอามาถวาย ...พระพุทธเจ้าท่านได้กินข้าวกินน้ำ ร่างกายก็มีพละกำลังแข็งแรงขึ้น สติสมาธิปัญญาก็เริ่มแจ่มใส

แล้วก็ที่ถวายนี่เขาถวายข้าวพร้อมถาดทองนะ พระพุทธเจ้าฉันเสร็จก็เอาไปล้างในแม่น้ำ ในระหว่างล้างก็ตั้งสัจจาธิษฐาน ก็อธิษฐานอยู่ภายในใจ แล้วก็ลอยถาดทองไปในแม่น้ำ

ด้วยคำอธิษฐานของท่าน ถาดนั้นกลับลอยทวนน้ำ...นี่ มีแววๆ แล้ว ...ก็อธิษฐานว่าจะได้สำเร็จโพธิญาณมั้ย จะสำเร็จด้วยตัวเองได้มั้ย มีกำลังถึงรึยัง ประมาณนั้น

ก็สมดังอธิษฐานว่า ถ้าไม่เป็นไปดังนั้นก็ให้ถาดนั้นจมลงต่อหน้า ...แต่มันลอยทวนน้ำขึ้นไป แล้วก็ไปตกใส่หลังพญานาค รู้จักมั้ย  เรื่องพญานาคที่อยู่ใต้แม่น้ำเนรัญชรา

พญานาคนี่หลับมา ๓ พุทธันดรแล้ว รวมพระพุทธเจ้าด้วยก็เป็น ๔ พุทธันดร ...พอถาดหล่นใส่ก็ตื่นผงกหัวขึ้นว่า “อ้อ อีกแล้ว” ...อีกแล้วคือพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกแล้ว ประมาณนั้น แล้วก็หลับต่อ

นู่น จะไปรอสำเร็จกับพระศรีอาริย์เมตตรัย พวกช่างนอน ปรารถนาจะนอน สบายดี...สมดังคำอธิษฐานเลย นอนที ๕ พุทธันดรเลย  ก็ยังดีได้สำเร็จในพุทธันดรสุดท้าย ...เอามั่งไหม สบายดีนะ

เอ้า เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็อิ่มแล้ว มีเรี่ยวแรงพละกำลังวังชาขึ้นมา สติปัญญาก็เริ่มแจ่มใส  ก็เดินหาที่...ไปเจอร่มไม้โพธิ์ เตะตาต้องใจ มีร่มเงาดี ดูน่านั่ง

มันก็มีเหตุได้เจอคนเกี่ยวหญ้า มาเห็นพระพุทธเจ้ายืนทอดพระเนตรหาที่นั่งอยู่นั้น ก็ถามไถ่ เห็นว่าจะหาที่นั่งบำเพ็ญภาวนา ก็เกิดศรัทธาเอาหญ้าคามาถวายให้ปูรองนั่ง

นั่นแหละ ทั้งหมดนี่ก็เพื่อจะมาพิจารณาว่า...อย่างไรจึงจะออกจากความเป็นตัวเราของเรา หนึ่งคืนนั่นแหละที่เห็นมรรค รู้จักมรรค หนึ่งคืนนั่นแหละที่ท่านรู้จักศีลสมาธิปัญญา

แล้วก็ในหนึ่งคืนนั่นแหละที่ท่านเห็นปฏิจจสมุปบาท...ปัจจยาการแห่งการเกิด และปัจจยาการแห่งการดับ  จนหลุดพ้นจาก “เรา” ในที่ทั้งปวง ...นี่ ไม่เฉพาะแค่ขันธ์ห้านะ

แต่หลุดจาก “เรา” ในสามโลกธาตุ  จาก “เรา” ในอนันตาจักรวาล หมด ...ทอดใจไปทั่วอนันตาจักรวาล ไม่มีที่ใดเป็นที่ตั้งที่หมายของ “เรา” อีกเลย..จริงๆ รองรับได้ด้วยตัวเอง

ขนาดนั้นน่ะ ท่านยังมาเสวยวิมุตติสุขอีก ๔๙ วัน ทบทวนธรรมทั้งหมด ...เป็นการทบทวนธรรมทั้งหมด โดยละเอียดและพิสดาร ...ไม่มีค้าง ไม่มีข้อง ไม่มีคา

ไม่มีสงสัย ในอนันตธรรม ในธรรมที่ไม่มีประมาณนั่นน่ะ ...จึงเรียกว่า ขีณาชาติ วุฒสิตัง พรหมจริยัง ...ขีณาชาติ จบสิ้นภพชาติโดยสมบูรณ์จริงๆ

แล้วท่านจึงมาประกาศธรรม แสดงธรรมเทศนา เรียกว่าปฐมเทศนา คือธัมมจักกัปปวัตตนะสูตร ...เนื้ออรรถใจความในธัมมจักกัปปวัตตนะสูตรนั่นน่ะ ครอบคลุมการปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนจบเลย

พูดถึงทางผิดสองสาย คือกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยค แล้วพูดถึงมัชฌิมาปฏิปทา มรรคมีองค์ ๘ พูดถึงอริยสัจ ๔ นั่นแหละคือหัวใจหลัก หัวใจของการปฏิบัติ

ที่จะทำลายล้างกิเลส ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด จนถึงที่สุดประณีตเลยคืออวิชชาคือจะพ้นจากองค์มรรคนี้ไม่ได้ จะออกนอกกรอบมัชฌิมาปฏิปทานี้ไม่ได้เลย แม้แต่อณูหนึ่งของจิต

แต่พอมาถึงสมัยนี้ปัจจุบันนี้ การปฏิบัตินี่กลับถอยหลัง มันพากันถอยหลังกลับไปสู่รูปแบบการภาวนาในลักษณะของอาฬารดาบส อุทกดาบส อีกเหรอ

มันปฏิบัติภาวนาเพื่อจะให้ได้สภาวธรรมขั้นสูงสุดนั่นน่ะ...โดยมี “เรา” น่ะเข้าไปเสวยสภาวธรรมนั้นน่ะ ...เนี่ย มันเป็นการปฏิบัติย้อนหลังพระพุทธเจ้านะ

เพราะอะไร ...เพราะผู้ปฏิบัตินั้นน่ะ เกิดความประมาทปรามาสในศีลสมาธิปัญญา  เกิดความประมาท ปรามาสในมัชฌิมาปฏิปทาหรือมรรคมีองค์ ๘

ผู้ใดปรามาสศีลนี่...สมาธิ-ปัญญาไม่ต้องถามถึง  ไม่มีทางที่จะเกิดได้ ...เพราะศีลสมาธิปัญญาเป็นธรรมเนื่องกัน สงเคราะห์กัน  เพราะศีลมี..สมาธิเกิด เพราะสมาธิเกิด..ปัญญาจึงเกิด

ศีลเป็นเหตุให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ...นี่ไม่ใช่เราพูด พระพุทธเจ้าท่านตรัสท่านบอก ท่านจึงเน้นย้ำศีลสมาธิปัญญาหรือไตรสิกขานี่ เป็นหัวใจของการปฏิบัติในองค์มรรค

จะเว้น จะขาดตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ ...เหมือนเกลียวเชือก เหมือนเกลียวคลื่น เหมือนวงล้อ เหมือนธรรมจักรที่จะไปฟาดฟันทำลายล้างกิเลสอวิชชาตัณหาอุปาทานและอาสวะทั้งหลายน้อยใหญ่

จะมาภาวนาแบบลักลั่น จะมาภาวนาแบบมักง่าย จะมาภาวนาแบบคิดเอาเอง เข้าใจเอาเอง ตีความกันเอาเองนี่ โดยไม่อิงปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธนี่ไม่ได้ 

ปริยัติธรรมท่านตรัสท่านว่าไว้ มีความสอดคล้องกันอย่างไรนี่ ...จะมาหลิ่วตาวาง ว่าไว้ทีหลัง ยังไม่ใช่ หรือว่าอย่างนี้มาทดแทน...ไม่ได้ มันตีความกันไปเอง

การภาวนาหรือผลของการภาวนาจึงเกิดภาวะที่เรียกว่าคลาดเคลื่อนไปหมด จนมีการแบ่งธรรมกันน่ะ จนมีการแบ่งภูมิธรรมกัน ว่าสภาวะนี้ใช่ สภาวะนี้ไม่ใช่ นี้ถูก นี้ผิด นี่เป็นอรหันต์จริง นี่เป็นอรหันต์ปลอม 

มันผิดทั้งจริงและปลอมนั่นแหละ บอกให้


(ต่อแทร็ก 13/33)






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น