วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 13/6



พระอาจารย์
13/6 (570211A)
11 กุมภาพันธ์ 2557



พระอาจารย์ –  รู้ไปโง่ๆ ...ฉลาดมาก ก็โง่มาก รู้มากก็ติดมาก รู้มากก็ทุกข์มาก รู้มากก็มากเรื่อง รู้มากก็มากเรื่อง รู้มากไม่มีทางจบเรื่อง 

ไม่รู้อะไร ...จบ โง่ดี ไม่รู้อะไรเลย ไม่เอาอะไรเลย ไม่บ้าบอไปกับความรู้อะไรเลย ...ชัทดาวน์ (shut down) ที่แท้จริง

โยม –  จบ หมด...อ่านมาทั้งหมด จบเลย

พระอาจารย์ –  ไร้สาระ ขยะเต็มหัว

โยม –  (หัวเราะ)

พระอาจารย์ –  สามคำจำให้แม่น...ศีล สมาธิ ปัญญา...แค่นั้นเอง นั่นน่ะปริยัติ ขอแค่นี้ รู้ปริยัติแค่นี้พอแล้ว ...แล้วก็รู้ให้ลึกรู้ให้จริงกับศีล รู้ให้ลึกรู้ให้จริงกับสมาธิ รู้ให้ลึกรู้ให้จริงกับปัญญา 

แค่นั้นพอแล้ว เอาตัวรอด ...ไอ้ที่มันไปไม่รอด ไปไม่พ้นนี่  เพราะมันหนักความรู้  ความรู้มันทับถม มันดึง มันเหนี่ยวมันรั้งไว้...ในโลก ในสามโลก

แต่เมื่อใดที่มันรวม ...ให้จิตนี่มันมารวม เพียรเพ่ง ให้มันรู้อยู่ในที่เดียว ให้มันเหลือความรู้ก็รู้ไปกับสิ่งเดียวแล้ว
  
อำนาจรู้ อำนาจเห็น พลังรู้ พลังที่ออกไปเห็นน่ะ ...มันจึงจะเป็นพลังให้เกิดปัญญาเกิดความรู้ เกิดความเข้าใจที่แท้จริงในธรรมหนึ่งที่มันกำลังเพียรเพ่งอยู่ในที่เดียวอันเดียว

จากที่เคยอยู่กับมันแบบมักง่าย จากที่มันเคยอยู่กันแบบไม่เคยดูดำดูดีกับมัน จากที่เคยอยู่กับมันแบบเข้าใจคลาดเคลื่อน เลื่อนลอย ผิดพลาด ...มันก็ค่อยๆ เข้าใจ 

ว่ากายนี้ ความเป็นจริงของกายนี้ มันคืออะไร ...ว่ากายนี้ ความเป็นจริงของกายนี้ มันคือใคร ...ว่าความเป็นจริงของกายนี้ มันเป็นกายจริงๆ มั้ย ...ไอ้ที่เรียกว่า กายๆๆๆ นี่ แท้ที่จริงมันเป็นกายอย่างว่าจริงมั้ย

เมื่อมันเข้าใจ...ว่ากายนี้ แท้ที่จริงของกายนี้คืออะไรแล้วนี่  มันไม่ได้หมายจำเพาะเพียงแค่กายอย่างเดียว  ...เพราะในความหมาย ในความเป็นจริง กายนี่ มันไม่ใช่เป็นแค่กองก้อนนี้ มหาภูตรูปนี้ สองแขนสองขาหนึ่งตัวหนึ่งหัวนี้เท่านั้น

เพราะตัวนี้มันยังมีการปฏิสัมพันธ์ หรือเกิดมีการปฏิยุทธ์ สัประยุทธ์ กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ หรืออารมณ์ในโลก คืออารมณ์ที่เรียกว่ารูป อารมณ์ที่เรียกว่าเสียง อารมณ์ที่เรียกว่ากลิ่น อารมณ์ที่เรียกว่ารส อารมณ์ที่เรียกว่าผัสสะ

เพราะนั้นเมื่อใดที่มันรู้แจ้งรู้จริงของสภาพว่ากายนี้คืออะไร ไม่ใช่เป็นใคร ไม่ได้เป็นอะไรของใครอย่างไรนี่ ...มันจึงจะเข้าไปรู้และก็แจ้งในส่วนที่มันสัประยุทธ์กับกายทั้งหมดด้วย 

ว่าความเป็นจริงของรูป ความเป็นจริงของเสียง ความเป็นจริงของกลิ่น ความเป็นจริงของรสชาติ ความเป็นจริงของผัสสะ เย็นร้อนอ่อนแข็ง ที่มีอยู่ในโลกนี้...คืออะไร 

มันเป็นใคร มันเป็นเขา มันเป็นเรา มันเป็นของใครอย่างไรหรือเปล่า ...มันก็จะเข้าใจ  เมื่อมันเข้าใจ ตามสภาพที่แท้จริงของกาย ตามสภาพที่แท้จริงของโลกที่ล้อมรอบกายนี้ ว่ามันไม่ได้เป็นอะไรของใครเลย 

ว่ามันเป็นเพียงแค่ธรรมดาหนึ่ง ว่ามันเป็นเพียงแค่ปกติอาการหนึ่ง ว่ามันเป็นเพียงแค่ความจริงที่ปรากฏชั่วขณะ ว่ามันเป็นแค่การประชุมรวมกันแค่ชั่วคราวหนึ่ง...ไม่ได้เป็นใคร ของใคร แต่ประการใด

ความรู้ความเห็นความเชื่อแบบเดิมๆ ที่เคยเชื่อ ที่เคยเข้าใจว่า นี้เป็นตัวเรา นั้นเป็นตัวเขา  มันก็จะค่อยๆ ถูกลบล้าง มันก็จะค่อยๆ ถูกจางคลาย  มันก็จะค่อยๆ เสื่อมสลาย เบาบาง จนถึงเรียกว่าหมดสิ้นไป

เมื่อนั้นดวงจิตดวงใจ...ที่อยู่กับกายอยู่กับขันธ์  มันก็จะอยู่กับขันธ์ มันก็จะอยู่กับกาย...ในสภาพที่เรียกว่า ต่างคนต่างอยู่มากขึ้น 

ไม่เข้าไปปนเปื้อน ไม่เข้าไปอิงแอบ ไม่เข้าไปผสมรวม ไม่เข้าไปเกาะกุม ไม่เข้าไปเหนี่ยวรั้ง ไม่เข้าไปคาดคั้น ไม่เข้าไปหมายมั่น ไม่เข้าไปก่อเกิด ไม่เข้าไปทำความรักษาเหนี่ยวรั้งให้มันเป็นให้มันมีน้อยลง

เมื่อมันเกิดผลที่มันเป็นอย่างนั้นน่ะ...ลักษณะที่จิต หรือลักษณะที่ใจ...ที่มันรวม ที่มันตั้ง ที่มันอาศัยอยู่ในขันธ์ด้วยกันอย่างนั้นแล้วนี่ 

ผลก็คือความรู้สึกของเราที่เป็นทุกข์กับขันธ์ กับความรู้สึกของเราที่เป็นทุกข์กับโลกนี่ จะไม่มี จะหมดไป ...แล้วถ้ามันคงความรู้สึกที่ไม่มีเราเข้าไปเป็นทุกข์กับขันธ์กับกาย ไม่เป็นเราเข้าไปเป็นทุกข์กับโลกกับสัตว์บุคคลในโลกนี่ 

จนมันอยู่ตัว จนมันต่อเนื่อง จนมันเรียกว่าไม่หวนคืน เป็นอนาลโย ไม่หวนคืนไปมีความคิดแบบเดิมๆ ความเชื่อแบบเดิมๆ อีกต่อไปนี่ ...ผลก็คือการที่จะกลับมามีกายมีขันธ์ห้า เป็นคนและเป็นสัตว์ในโลกนี้...หยุด จบ 

ไม่สามารถที่ใจดวงนี้จะกลับมาสร้างขันธ์ห้าเป็นที่อยู่ที่อาศัยของใจได้อีกต่อไปชั่วกาลนาน ...นี่คือผล นี่คืออานิสงส์ของปัญญานะ ที่มันเข้าไปเห็น เข้าไปแจ้ง...ในความเป็นจริงของกายและโลก

เพราะนั้นมันจะถือในตัวของมันเองว่า...ตัวใจดวงนี้มันจะอยู่กับกายนี้ขันธ์นี้ เป็นเพียงกายสุดท้าย  ถ้าหมดสิ้นขันธ์นี้กายนี้แล้ว จะไม่มีกายใหม่ขึ้นมาอีก

นี่ ทำไมถึงต้องการให้รู้กาย ทำไมถึงต้องการให้แจ้งในความเป็นกาย  ...เพราะถ้าไม่อยากรู้กาย ถ้าไม่อยากแจ้งในกาย ถ้าไม่เห็นว่ากายนี่สำคัญอย่างไร ...ผลคือยังไง

คือการเกิดมามีขันธ์นี้ การเกิดมาเป็นคนบ้าง เป็นชายเป็นหญิงบ้าง จะไม่มีคำว่าสิ้นสุด ด้วยอำนาจแห่งความไม่รู้ ว่ากายนี้ แท้ที่จริงของกาย แท้ที่จริงของกาย...รูปขันธ์นี่ จริงๆ แล้วมันคืออะไร

ทำไมถึงไม่ให้อยากมาเกิดเป็นคน ...การเกิดเป็นคนไม่สนุกนะ การได้ทรัพย์ที่เรียกว่ากาย หรือรูปกายเป็นทรัพย์นี่ ไม่ใช่ของสนุกนะ มันไม่ใช่ของดีมีราคา มันไม่ใช่ของที่มีค่า มันไม่ใช่ทรัพย์สมบัติที่ยั่งยืน

มันเป็นกองก้อนที่รวมที่สุมของโรค ของเชื้อโรค ของปฏิกูล ของทุกข์ ของความแปรปรวน ของความเสื่อม ของความคงอยู่ไม่ได้ ของความเป็นทุกขเวทนา ...ที่สะสมอยู่ทุกวินาที ทุกปัจจุบัน

มันไม่ใช่ของดี ของที่เป็นสุข ของที่มันมีค่ามีราคาประเภทที่ว่า...ถ้ามันกระเด็น มันหลุดมันร่วงออกไปจากองคาพยพแล้ว มันจะมีคนมาแห่ตามเก็บไปขึ้นหิ้งหรือไปเข้าผอบ ...ซึ่งยกเว้นของพระอรหันต์นะ

แต่ของพวกเรานี่ ...ขี้รังแคกระเด็นมานิดนี่...ยี้  อย่าว่าแต่ของคนอื่นนะ ของตัวมันเอง มันยังยี้เลย  ตัดเล็บนี่ ตัดๆ  เล็บกระเด็นไปลงน้ำแกงนี่ทิ้งเลย ถ้ามันไปลงในวงกินข้าวนี่จะได้โจทย์เพิ่มเลย 

เห็นมั้ย นี่ล่ะกาย ของที่เนื่องด้วยกาย ...ที่ว่าดีๆ ดีนักดีหนา อยากได้กันนัก อยากได้กันหนา อยากมีกาย อยากเกิดมามีกายอีกนี่น่ะ ...มันดีจริงเหรอ


โยม –  ห้ามคิดทุกเรื่องนี่ แล้วคิดหัวข้อธรรม คิดธรรมะได้มั้ยคะ

พระอาจารย์ –  ธรรมะก็ไม่เอา เอากายเน็ทๆ เอากายเน้นๆ

โยม –  จะยอมโง่เจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ ถ้ายังเปิดช่อง ถ้ายังอ่อนข้อให้จิต ถ้ายังมีข้อแม้ให้มัน ถ้ายังปล่อยให้มันมีอะไรเป็นเงื่อนไขนี่ ...เหมือนเขื่อนที่ร้าวน่ะ แล้วก็ปล่อยให้มันร้าวอยู่อย่างนั้น สุดท้ายเขื่อนก็พัง เขื่อนก็แตก

อย่าปล่อย อย่าให้จิต อย่าให้ความคิดความเห็นมันอ้างสิทธิ์อ้างเสียงขึ้นมา อย่าให้มันมีกำลัง อย่าให้มันมีความสำคัญใดสำคัญหนึ่งขึ้นมา...ในความคิดและความเห็น ไม่ว่าในแง่อรรถแง่ธรรม ไม่ว่าในแง่โลก 

ละซะ...ตัดอกตัดใจละซะ  เอาแค่นั่ง เอาแค่รู้ ...แค่จะรักษารู้กับรักษานั่งนี่ ก็จะตายชักอยู่แล้ว ยังเอาความคิดมาเป็นภาระให้มันแน่นอกคับใจอีกหรือ ถึงแม้จะเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรม พิจารณาธรรมก็ตาม

กายเดียวใจเดียว กายเดียวรู้เดียวนี่...เอาให้มันอยู่เถอะ  ฝึกแล้วฝึกเล่า ทวนแล้วทวนอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำๆ ซากๆ อดทนต่อความอยากรู้ อดทนต่อความอยากเห็น อดทนต่อความอยากมี อดทนต่อความอยากเป็น ...ทั้งทางโลกและทางธรรม 

รู้กาย รู้ตัวไปแบบโง่ๆ ด้านๆ นี่แหละ ไม่เอาอะไร ไม่ไปแข่งกับใคร และก็ไม่ไปตามใคร ...จะตามกายตามรู้อย่างเดียว อยู่ในกายอยู่ในรู้อย่างเดียว

ถ้าทุกคนในโลกทำกันอย่างนี้ จะไม่มีใครมาเป่านกหวีดเลย (หัวเราะกัน) เชื่อเรามั้ยล่ะ ...จะไม่มีการแบ่งแยกเป็นแดง เป็นเหลือง เป็นเขียว เป็นบ้าเป็นบออะไรเลย  

ต่างคนต่างคร่ำเคร่งอยู่กับการรักษาเนื้อรักษาตัว รักษากายรักษารู้ ไม่ออกไปวุ่นวี่วุ่นวายกับการกระทำคำพูดของบุคคลอื่น ไม่พาดพิงไปถึงอดีตอนาคตของประเทศ ไม่ไปล่วงเกินกิเลสผู้อื่น

ล่วงเกิน ทุกวันนี้มันก็ล่วงเกิน ...กิเลสตัวเองไม่ละ ดันจะไปละกิเลสคนอื่น ต้องการให้ทุกคนเป็นคนดี ...มันคิดว่ามันทำได้รึไง เอาสิทธิ์อันไหน ...ถึงทำได้ก็ได้เป็นแค่ครั้งคราว มันทำไม่ได้ตลอด เพราะจริงๆ มันทำไม่ได้เลย

แต่ว่าสิทธิ์ที่ทำได้สำหรับทุกคน คือ เอากิเลสออกจากใจเจ้าของ  อันนี้เป็นสิทธิ์ที่ทุกคนสามารถทำได้ แต่ทุกคนกลับปฏิเสธสิทธิ์นี้ ...แต่ทุกคนกลับไปอ้างสิทธิ์ที่จะไปทำให้แทนคนอื่น 

เนี่ย คือสาเหตุแห่งความเร่าร้อน นี่คือสาเหตุหรือมูลเหตุที่เกิดคำว่าไม่จบและสิ้น

แต่เมื่อใดที่เราใช้สิทธิ์ที่ได้มาตั้งแต่เกิด ในการที่จะขับไล่ ชะล้าง ความไม่รู้ ความเป็นกิเลสภายในของตัวเองออก จนหมดสิ้น ...แล้วกิเลสของคนในโลกเขาไม่หมดสิ้น มันจะไม่รู้สึกเลยว่าเดือดเนื้อร้อนใจ 

แล้วสุดท้ายมันก็ไม่กลับมาเกิดมามีร่างกายนี้ มาเกลือกกลั้วกับกิเลสของคนในโลกอีก ...เนี่ย เป็นวิถีทางออกในวิถีหรือในแนวทางของพุทธะ

พวกเรานับถือศาสนาพุทธทั้งนั้น แต่ไม่เคยใช้วิถีแห่งพุทธะ หรือเยี่ยงอย่างของพุทธะ สังฆะ ที่ท่านแสดง กระทำ พูด เป็นแบบอย่าง มาตั้งแต่สองพันห้าร้อยกว่าปี 

กลับดูถูกดูกลายว่าล้าสมัย กลับดูหมิ่นดูแคลนว่าใช้ไม่ได้กับโลกสมัยนี้ ...ถ้าสมัยนี้มันจะต้องแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ... นี้ไม่ใช่วิถีแห่งพุทธะ เหล่านี้ไม่เรียกว่าเป็นไปเพื่อความเป็นสาวกพุทธะ 

แต่อนุโลมอนุมานได้ว่าเป็นสาวกของมาร คือกิเลสมาร ขันธมาร ...เดี๋ยวนี้มารมันเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทุกคนจะอยู่ด้วยอำนาจของกิเลสมารเป็นใหญ่ อารมณ์เป็นใหญ่ ...ไม่เอาพุทธะเป็นใหญ่

นี่เรียกว่าไม่เคารพพุทธะนะ ไม่เคารพวิถีแห่งพุทธะ แล้วก็ไม่เคารพพุทธะ ...ในที่นี้ พุทธะคือผู้รู้ คือจิตผู้รู้ เป็นที่พึ่ง ก็ไม่อาศัยการระลึกรู้เป็นที่พึ่ง การเท่าทันเป็นที่พึ่ง คือรู้เท่ารู้ทัน

คือพุทธะตัวเป็นๆ พระพุทธเจ้าตายแล้วใช่ไหมสองพันห้าร้อยกว่าปี ไม่มีแล้วตัวเป็นๆ ไม่ต้องไปพึ่งท่านแล้ว จับต้องไม่ได้แล้ว ...แต่พุทธะในใจทุกคนมี ทุกคนมีสิทธิ์ และทุกคนก็มีอยู่ มาตั้งแต่เกิด

แต่เราไม่อาศัย เราไม่พึ่งพุทธะภายใน ...แต่เราไปพึ่งมารภายนอก คืออารมณ์ คือความอยากความไม่อยาก คือความคิดบ้าง คือความเห็นบ้าง คือคำพูดของคนนั้นคนนี้บ้าง 

เป็นที่พึ่ง เป็นที่เหนี่ยวนำ เป็นที่ดึงดูด เป็นที่ชักนำ เป็นที่ลากพาไป ...ไปไหนๆ ...ไปนรก ที่เร่าร้อน

นรกในความหมายของเรานี่  คือถ้าออกกับมาร ออกกับกิเลสมาร ออกกับความคิด ออกกับความเห็นไปน่ะ ...มันมีแต่เรื่อง มันมีแต่ทุกข์...ทั้งตัวเองและผู้อื่น

กลับเนื้อกลับตัวกลับใจ รู้จักคำว่ากลับเนื้อกลับตัวกลับใจบ้างมั้ย นั่นแหละที่ท่านเรียกว่า โอปนยิโก คือน้อมกลับ กลับมาอยู่ที่อก กลับมาอยู่ที่ใจ อกคือกาย ใจคือรู้ เรียกว่ากลับอกกลับใจ 

เป็นไอ้เสือทิ้งลายซะบ้าง อย่าเอาลายมาเยอะ เดี๋ยวมันก็จะออกลายให้เห็น ...แล้วก็ต่างคนต่างออกลายเสือ แล้วมันจะต้องตะปบใส่กันนะ  มันต้องแสดงอำนาจความเป็นเสือของแต่ละคน ...เสือสารพัด 

กลับมาอยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ กลับมาพึ่งในสิ่งที่ควรจะพึ่ง กลับมาอยู่กับหลัก...ในหลักที่ควรจะเป็นหลักจริงๆ ไม่ใช่หลักเลื่อนลอย ไม่ใช่หลักกิเลส ไม่ใช่หลักที่โยกไปเยกมา

หลัก หลักเดียว...หลักกาย หลักปัจจุบัน เป็นที่พึ่ง ...ซึ่งตอนนี้ปัญญาเรายังไม่มีมากพอที่จะเชื่อจริงๆ ว่าพึ่งได้จริง เข้าใจมั้ย 

มันก็จะมีไอ้ปัญญาแบบสมองหมาปัญญาควายนี่มาบอกว่า "ไม่ได้หรอก มันต้องด่าถึงจะหาย ...ไม่ได้หรอก มันจะต้องคิด ไม่อย่างนั้นมันแก้อะไรไม่ได้" ...นี่เขาเรียกว่าปัญญายังทรามอยู่ ยังต่ำอยู่ 

มันจะมีความเชื่ออันนี้ คอยมาบอกว่า แค่รู้แค่เอากายนี้เป็นหลักนี่มันแก้อะไรไม่ได้หรอก แล้วไอ้ปัญญาแบบสมองหมาปัญญาทึบนี่...มันจะโอ้อวดตัวมันเอง

ว่า ต้องแก้อย่างนี้ ต้องแก้ด้วยวิธีนี้ ต้องมีอารมณ์เข้ามาอย่างนี้ แล้วใช้อารมณ์ไปกระทำอย่างนี้ พูดอย่างนี้ แล้วนี่  ความทุกข์ภายในนี่ที่มันกำลังทุกข์อยู่นี่ จะหายไปเร็วๆ ฉับพลัน

เราจะต้องทนกับมัน ...เพราะว่าปัญญาเราน้อย ยังไม่เชื่อในองค์ศีลจริงๆ ว่าจะแก้ได้จริงเหรอ ...มันก็เกิดความละล้าละลัง พอละล้าละลัง การที่อยู่กับเนื้อกับตัวกับกายนี่ มันก็จะเกิดความรู้สึกว่าอยู่กับมันยาก 

มันคอยจะไปอยู่ตลอด ไปคิด ไปมีอารมณ์ หรือว่าไปพูดไปคุย หรือว่าไปในที่ที่ไม่รู้ตัว ...ไม่รู้เนื้อรู้ตัวยิ่งดี ที่ไหนไปแล้วไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไปแล้วลืมเนื้อลืมตัวนี่ มันจะไปตรงนั้น

นี่อำนาจของความไม่รู้นะ ไม่มีปัญญา มันจะผลักออกไป...จากหลักธรรม หรือหลักที่พระพุทธเจ้าบอกว่านี้ เป็นหลัก... ปัจจุปันนัญจะ โย  ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ ...ที่นี้ ที่นี้เท่านั้น


(ต่อแทร็ก 13/7)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น