วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 13/2



พระอาจารย์
13/2 (570209B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
9 กุมภาพันธ์ 2557


พระอาจารย์ –  เพราะนั้นต้องรักษากายรักษาใจไว้ 

จะยาก จะลำบากก็ต้องทำ อย่าไปคิดว่าเป็นเวลาที่ไม่ต้องทำ ...เพราะอย่างเวลาอยู่อย่างนี้ กายมันก็ปรากฏชัด หยั่งดูก็เจอ แต่เวลาเข้าเมืองไปแล้วปุ๊บนี่ มันกลายเป็น “หายากฉิบหายเลย...กาย”  

การก้าว การเดิน การพูด การคุยนี่... “กายกูหายไปไหนวะ กูจะหาเจอได้มั้ยนี่”  มันยากแล้ว มันยาก ...พอยากมากๆ เข้า มันก็ขี้เกียจแล้ว ใช่มั้ย ขี้เกียจ ...แล้วมันก็จะรอเวลาให้ถึงได้มาอย่างนี้

ความตายไม่รอหรอก ไม่รอต่อความงอมืองอตีน ... ก็ต้องลุกขึ้นขันแข็ง เขาเรียกว่าความเพียร เป็นคนที่ไม่ย่อท้อ ...มันยากแค่ไหนก็ต้องทำให้ได้ 

ก็รู้อยู่แล้วว่านี่กลับไป เข้าเมืองไป “เดี๋ยวกูต้องไม่รู้ตัวแน่เลย กายกูหาย ...แล้วเวลาที่กูเจออารมณ์อะไรเยอะๆ นี่ กูไม่รู้จะไปหากายที่ไหนยังไง”

ก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจออาการนี้ซ้ำซาก  จะทำยังไง จะหนียังไง จะแก้ยังไง หรือไปมุดหัวมุดตีนอยู่ในซอกหลืบรู หรือไม่ให้เจออะไร ...มันทำไม่ได้ 

มันก็มีแต่ว่า ไม่ย่อท้อ แล้วก็ไม่งอมืองอตีน ...ตั้งใจให้มันแข็งแรงขึ้น ตั้งสติให้มันเข้มข้นขึ้น ระมัดระวังขึ้น ให้มันเข้มแข็งขึ้นมาในการที่จะสร้างความรู้ตัว สร้างหรือว่าหยั่งลงถึงกายถึงใจให้ได้ตรงนั้น

จะยากลำบากขนาดไหนก็ต้องกัดฟันทำ ตัดใจเลยว่า...ฮึด มันต้องฮึดขึ้นมา หลายๆ ครั้ง จนมันมีกำลัง กิเลสมันจะมาท่าไหน หรือว่าอารมณ์ภายนอก ผัสสะอะไรที่มันแวดล้อมนี่...มันทัน มันตั้งรับได้

มันก็เป็นอาการซ้ำซากอยู่แล้ว การหลงการเพลินในระหว่างที่มันไปทำกิจธุระอะไร มันต้องหลง มันจะมุ่งไปที่กิจธุระนั้น ความคิด คำพูด พวกนั้น มันก็หลงไปตอนนั้น ตอนสังสรรค์ตอนพบปะพูดคุย 

มันก็จะหลงที่เดิมๆ นั่นแหละ ...เวลารู้ มันก็จะรู้ที่เดิมๆ เหมือนกัน  อาการที่มันนั่งอยู่คนเดียวบ้าง หรือไม่มีอะไรทำบ้าง มันก็กลับมารู้ ...มันก็เป็นร่องเดิมของมัน 

แต่คราวนี้ว่า ทำยังไงมันถึงจะต่อเนื่องให้ได้ในทุกที่ทุกสถาน อย่างนี้ มันก็ต้องฟันฝ่าด้วยความเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ ...ไม่ใช่งอมืองอตีนให้กิเลสมันเหยียบย่ำ ความไม่รู้มันเหยียบย่ำทับถม 

มันก็เป็นผู้แพ้ตลอดกาล ไม่สามารถปฏิรูปกายใจขึ้นมาได้ ...แล้วก็อย่าไปปฏิรูปคนอื่น อย่าไปปฏิรูปประเทศ อย่าไปปฏิรูปอดีตอนาคต ...ปฏิรูปกายใจขึ้นมา ปฏิรูปให้มันเหนือกิเลสขึ้นมา 

อย่าไปอยู่ต่ำอยู่ใต้อำนาจของความไม่รู้ ...แล้วก็ปล่อยให้ความไม่รู้นี่มันพาไประหกระเหิน ตกระกำลำบากกับอารมณ์ กับความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ต่างๆ นานา ไปตกระกำลำบากในอดีตอนาคต

นี่ความไม่รู้ทั้งนั้นน่ะมันพาไป อยู่ใต้อำนาจของมัน แล้วก็ไม่คิดที่จะปฏิวัติ ปลดแอก ...นี่ก็เป็นแต่ผู้ภาวนาที่แค่ได้รู้ ได้ฟัง ได้ทำบ้าง...มันก็ทำได้แต่ตอนที่กิเลสมันไม่มี หรือว่ากิเลสมีน้อย 

หรือตอนที่กิเลสมันไม่ค่อยแสดงนี่น่ะ เก่งๆ ...แล้วเวลาพุดคุยก็ว่า “ฉันภาวนาดี ฉันรู้ตัวดี" ...แต่เวลาโกรธนี่แม่ไม่เอาอะไรเลย แม่จะด่าก็จะเอาให้มันตายคาตีนคาปากกูไปเลยนั่นแหละ เนี่ย มันเก่งยังไง

แต่เวลาธรรมดากิเลสมันเฉยๆ หรือว่ามันพักตัว มันหลับมันนอนหรือมันพักผ่อนนอนหลับ เอาแรง ...คือมันนอนหลับไม่ใช่นอนตายนะ มันนอนหลับเอาแรง ...เดี๋ยวกูตื่นขึ้นมาล่ะ...มึ้งจะมาเป็นเบ๊กูอีก

เรานั่นแหละจะเป็นเบ๊ของกิเลส แล้วแต่มันจะชี้นิ้วบงการ ให้กิเลสมันมีอำนาจนำ ชี้นิ้วนำ...นำพูด นำด่า นำไปหาสุข นำไปหาทุกข์  นำไปหาเหตุและผล หาความถูกต้อง 

นำไปหาความเป็นจริงที่นั้นที่นี้ หรือนำไปหาความเสียดแทงบีบคั้นให้คนนั้นคนนี้บ้าง ...เหล่านี้นี่ กิเลสนำทั้งนั้นน่ะ ไม่ใช่ศีลสมาธิปัญญานำ 

ถ้าศีลสมาธิปัญญานำนี่ มันจะนำอยู่ภายใน มันจะนำพาอยู่ข้างใน ...วนอยู่ภายในสัดส่วนของกายบ้าง ความรู้สึกของกายบ้าง ความปรากฏขึ้นของความคิดความเห็น  

อันนี้เป็นความคิด อันนี้เป็นความเห็น อันนี้เป็นความจำ อันนี้เป็นอารมณ์ ...มันจะนำพามาเรียนรู้ จำแนก แยกแยะ นี้คือนี้ นี้คืออย่างนี้ นี้คือส่วนนี้  นี้คือกาย นี้คือกายจริงๆ นี้คือกายสมมุติ...

นี้คือกายที่มีกายสมมุติ...แล้วก็มีกายจริงอยู่คู่กันด้วยกัน...แต่ว่ามันไม่ใช่อันเดียวกัน ...นี่มันก็นำพามาค้นมาหา มาวิจยะ มาใคร่ครวญในกองก้อนธาตุก้อนขันธ์นี่ ...เรียกว่าศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวนำ  

ถ้ากิเลสนำมันก็ไปไหนก็ไม่รู้ ทำอะไรก็ไม่รู้ ...แต่พอมันเลิกทำมันหยุดทำแล้ว...ก็มีแต่ความเร่าร้อนตามมา มีแต่ความหนักคับข้อง มีแต่ความกังวลแก้ไม่ตก

มันก็ไปคาอยู่อย่างนั้น ไปค้างไปคากับการกระทำคำพูดของตัวเอง  แล้วก็มานั่งเสียใจเสียดาย กังวลว่า...ไม่น่าเลย  มานั่งคาอยู่ในการกระทำที่ทำไปแล้ว ...แล้วยังไม่ยอมแล้ว

หรือคนอื่นก็เขาทำแล้ว แล้วก็มานั่งคิดนั่งค้นว่า...เจอมันครั้งต่อไปเราจะทำยังไง จะตั้งรับมันยังไง คือฝึกวิทยายุทธ์ในการคิดคำพูดอะไรที่มันเจ็บๆ แสบๆ อย่างนี้

มันเป็นงานหรือนั่น มันเป็นงานหรือ ...มันเป็นงานของเหล่าผู้ที่จะเตรียมตัวเป็นอริยสงฆ์สาวกไหม นั่นน่ะ หรือเป็นงานที่จะสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้ตัวเอง

แต่มันกลับเห็นว่างานนี้เป็นงานสำคัญอย่างยิ่งยวด ยิ่งยวดขนาดไหน ...To die for เลยนะ ...ถ้าไม่ได้ด่านี่กูนอนไม่หลับ นึกคำด่าไว้เดี๋ยวเจอหน้ามันดันลืมไป นอนไม่หลับ ต้องจด ต้องเตรียมพร้อมอย่างยิ่ง 

แล้วมันมีโปรเจ็คท์ แผนนั้นขึ้น แผนนี้ซ้อนอีก มันวางเป็นโปรเจ็คท์เลย ...นั่นน่ะงานของคนทั่วไป เป็นงานอันต่ำ เป็นงานอันหยาบ เป็นงานที่ไม่ควรค่าแก่การเอาเยี่ยงเอาอย่าง

ปล่อยให้คนทั่วไปเขาทำไปเถอะ ...เพราะนั้นผู้ปฏิบัตินี่คือใคร คือผู้ที่เตรียมตัวจะเป็นอริยสงฆ์สาวกโดยแท้จริง ...แล้วถ้ายังทำงานอย่างนี้อยู่ มันจะเป็นได้มั้ยเนี่ย  

แค่เตรียมพร้อมที่จะเป็น ยังไม่ทันจะเป็นนะ มันยังไม่เตรียมพร้อมให้ดีเลย ...เพราะนั้นมันมีแต่ความอยากแค่นั้น ...มันพาไปไม่ได้ 

ความอยาก ตัณหา อยากได้ อยากถึง อยากเป็น ทุกคนน่ะอยากเป็นโสดาบันทั้งนั้นแหละ ...แต่มันไม่ทำน่ะ มีแต่อ้อนวอนร้องขอ มีแต่บนบานศาลกล่าว มีแต่หวังพึ่งอาจารย์ มีแต่หวังพึ่งซีดี...มันไม่ทำ

ถ้ามันไม่ทำ ไม่ก้าวเดินไปในมรรค แล้วยังไม่สร้างครรลองของมรรคขึ้นมาด้วยศีลสมาธิปัญญา ...มรรคมันก็ไม่เกิด มรรคมันก็ไม่ปรากฏ 

แล้วมันจะเดินไปทางไหน ...มันก็เดินไปตามทางเก่าของมันที่กิเลสเป็นตัวชี้นำ ความไม่รู้เป็นตัวพาไป กับความหลงเพลิน ทั้งวันก็ไปอยู่ในเส้นทางเหล่านั้น

เพราะนั้นเส้นทางของกิเลสความไม่รู้ มันก็มีอยู่สามเส้นทาง คือสามโลกนั่นแหละ...กามภพ รูปภพ อรูปภพ ...กามภพนี่ก็ยังแบ่งเป็น เทวดา ๖ พรหม ๑๖  เดรัจฉาน เปรต สัตว์นรก อสุรกาย  

เห็นมั้ย ในกามภพยังมีแยกแยะซอยย่อย มันไปได้มากมาย เป็นตรอกซอกซอยที่มันตีบตัน ที่มันไปแล้วก็ไปตก ไปคา ไปจมอยู่เป็นนาน...เป็นหลายปี หลายชาติ หลายภพ หลายอายุ 

ก็เป็นปีเป็นเดือนติดตังอยู่อย่างนั้น กว่าจะถอยถอนออกมา เดินกลับมาทางเก่า เส้นทางเดินแห่งความเป็นคน

แต่ถ้าไม่มีมรรคไม่มีตัวชี้นำทางโดยศีลสมาธิปัญญา เป็นเหล็กเป็นปูนเป็นหินเป็นทรายให้ก่อร่างสร้างทางขึ้นมานี่ ...มันก็จะวนลงทางเก่าทางเดิมของมัน ที่มันคุ้นที่มันเคยไป 

มันก็ลืมไปว่ามันเคยไปมาแล้ว ไปจมไปแช่อยู่ในหม้อนรกบ้าง ไปจมไปแช่อยู่ในความเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปจมไปแช่อยู่ในความเป็นคนดี-ร้ายบ้าง คนจน คนมี คนชั่ว อะไรหมุนวนอยู่อย่างนั้นไป

แต่มรรคนี่ไม่ได้สร้างไว้ในตำรา ไม่ได้สร้างเป็นทางจำเพาะของครูบาอาจารย์หรือพระอริยะเท่านั้น ...มันเป็นสาธารณะ ใครก็ทำได้ ใครก็ทำขึ้นมาเองได้ ...แต่มันไม่ทำ

ไอ้ที่ไม่รู้แล้วมันไม่ทำก็ไม่ว่า ไอ้ที่รู้แล้วมันไม่ทำนี่...ไอ้นี่ต้องด่าไม่ใช่แค่ว่า ...เพราะมันรู้แล้วก็ยังไปเลือกทางเดินเดิม ...เป็นนางงามชิงมงกุฎอยู่นั่น 

เอาอารมณ์ในโลกมาเป็นมงคลสวมหัวสวมคอ เป็นสร้อย เป็นแก้วแหวนอยู่อย่างนั้น ...มันไม่ได้เป็นการขวนขวายในการสร้างหนทางของมรรคน่ะ

พอเริ่มสร้าง พอตั้งใจจะสร้าง ก็มีความตั้งใจแค่กระผีกริ้น น้ำตามด... "เหนื่อย ไม่เอาแล้ว เหนื่อยยาก ไม่ไหวแล้ว" ...นั่น ความเพียรเท่านั้น เท่าน้ำตามด 

ความอยากนี่เท่าแผ่นฟ้า กว้างเท่าแผ่นดิน ...แต่ความเพียรขึ้นมาเหมือนน้ำตามด

เพราะนั้นมรรคนี่มันไม่มีใครสร้างให้กันได้ มันต้องทำขึ้นมาเอง หลายน้ำตามดเข้าไป เดี๋ยวมันก็ท่วมท้นเท่ามหาสมุทรเอง เกินมหาสมุทร เกินจรดขอบฟ้า เกินโลก ข้ามสามโลก ...ทำไมจะทำไม่ได้

มันไม่ใช่ของยากอะไรหรอก มันยากคือมันไม่ทำ หรือว่ามันทำน้อย แต่อยากยังเยอะอยู่ ...ก็ต้องลดทอนความอยากลงไป แล้วก็ทำลงไปให้มาก ทำความรู้ให้มาก ทำสติให้มาก 

ทำความรู้อยู่กับปัจจุบันให้มาก ทำความรู้อยู่กับอิริยาบถให้มันต่อเนื่องในทุกอิริยาบถ ไม่ว่ามันจะเป็นอิริยาบถในเมือง ในบ้าน ในป่าในเขา มันก็อิริยาบถเหมือนกัน เป็นผืนดินเดียวกัน

ไม่ได้เป็นผืนดินในโลกอื่น มันก็ผืนดินนี่ ไม่ใช่ดินบนดาวอังคารที่มันไม่เคยเจอเคยเห็นมาก่อน ก็ดินอันเดิม กายอันเดิม อิริยาบถอย่างเดิม มีความรู้สึกในอิริยาบถอย่างเดิม 

ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในโรงหนัง ไม่ว่าจะนั่งอยู่บนรถ ไม่ว่าจะนั่งอยู่บนบ้าน ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในที่ทำงาน ไม่ว่าจะไปนั่งถูกด่าหรือไปนั่งถูกชม หรือไปนั่งด่าเขา หรือไปนั่งให้เขาด่า 

มันก็กายอันเดิม อิริยาบถอันเดิม ...ไม่ใช่ว่ากายขณะที่กำลังไปนั่งแล้วถูกด่านั่น เป็นกายที่ถูกธาตุของดาวอังคารมาผสมกัน แล้วไม่เคยรู้ไม่เคยเจอมาก่อน ...มันก็ไม่ใช่ 

มันก็กายอันเดียวกับที่นั่งที่บ้านที่รถน่ะแหละ มันก็มีความรู้สึกอันเดิมนั่นแหละ ...ทำไมมันหาไม่เจอ ทำไมมันหยั่งลงไม่ถึง ทำไมมันไม่ยอมหยั่งลงมา

นี่ ความไม่ยอมออกจากอารมณ์ ไม่ยอมออกจากกิเลส ไม่ยอมออกจากความคิดในอดีตอนาคต ในความน่าจะเป็น ในความคาดหมาย ...มันไม่ยอมออก  

มันเสียดายที่ยังถูกด่าน้อยไป ก็เลยพยายามโต้ตอบให้มันถูกด่ามากๆ จะได้คิดดอกเบี้ยกับมันเยอะๆ มันจะได้สะใจแรงๆ ...มันไม่ยอมออก มันเสียดายความคาดหมายคาดหวังเหล่านี้

ทั้งๆ ที่ว่าตรงนั้นน่ะ กายก็คือกายอยู่ตรงนั้น อิริยาบถก็คืออิริยาบถอยู่ตรงนั้นน่ะ ...ความรู้สึกในอิริยาบถก็เป็นความรู้สึกในอิริยาบถแบบเปล่าๆ 

คำว่าอิริยาบถแบบเปล่าๆ คืออิริยาบถยังไง ...คือมันเป็นธาตุที่มันไม่มีความรู้สึก มันเป็นกองก้อนธาตุกองก้อนอาการ ที่มันไม่มีความเป็นสัตว์ ไม่มีความมีชีวิต ไม่มีความเป็นหญิงเป็นชาย

มันเป็นกองก้อนรวมกันของธาตุอย่างเดียว ไม่มีอารมณ์ในนั้น  ไม่มีความดี-ความเลว ความสุข-ความทุกข์ใดๆ ... มันเป็นกลางอยู่อย่างนั้น

เมื่อเราจ่อ หยั่ง จ่อหยั่ง อยู่กับกองธาตุ กองกาย กองศีลน่ะ  ความมีชีวิต ที่มันเคยเข้าใจ ที่มันเชื่อว่า เรานี่คือชีวิต จิตนี่คือชีวิต มันก็จะมาเห็นความเป็นจริง ว่า...ความมีชีวิตจริงๆ น่ะมันอยู่ที่ไหน 

โดยมีตัวกายนี้เป็นสะพานทอดเชื่อมให้ถึงใจ เพราะว่าตัวกายนี่มันไม่มีชีวิต ...เมื่อรู้ไปดูไปเห็นไปอยู่กับมันเรื่อยๆ นานๆ  ก็จะเห็นว่ามันเป็นธาตุที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความเป็นบุคคล

แล้วที่มันเคยบอกว่า...เรานี่มีชีวิต จิตนี่มีชีวิต เป็นบุคคล ดิ้นได้ เจ็บร้อนได้ ดีใจ หัวเราะได้ เป็นสุขเป็นทุกข์ มันมีชีวิตรับรู้อย่างนั้นได้นี่ 

เมื่อมันมาจดจ่ออยู่กับกาย  ...จนจิตนี่มันหยุด ความเป็นเรานี่มันหยุด ก็เหมือนกับไม่มีเรา ไม่มีจิตคิดนึกปรุงแต่ง

ถ้ามันเป็นชีวิตจริงๆ ในเรา ถ้าจิตเป็นชีวิตจริงๆ แปลว่าขณะที่มันหยุด ขณะที่มันไม่ปรากฏอาการของเรา ความรู้สึกของเรา ความรู้สึกในความคิด ความรู้สึกในอดีตอนาคตนี่ ...มันก็แปลว่าตายสิ

แต่มันก็ไม่ตายนี่ กายก็ยังมี ...ไม่มีจิต กายก็ยังมี ...เอ้า กายมันเป็นธาตุมันมีได้ยังไง ก็มันไม่มีชีวิตแล้วมันจะมีกายได้ยังไงล่ะ 

เพราะมันมีใจรู้อยู่ มีผู้ที่รู้อยู่ มีอะไรอย่างหนึ่งที่มันรู้อยู่ว่า...มีกายนี้ อยู่กับกายนี้ กายนี้มันปรากฏอยู่อย่างนี้  แต่ในขณะนั้นน่ะ จิตมันไม่มี เรามันไม่มี ...แต่ทำไมมันไม่ตาย

ถ้ามันเป็นชีวิตจริงๆ ถ้ามันเป็นความเป็นบุคคลจริงๆ  ทำไมยังยืนเดินนั่งนอนได้ ยังร้อน ยังอ่อน ยังแข็งได้  ยังรู้เห็นความเปลี่ยนแปลงของกายได้ ...ทั้งที่ว่ากายมันไม่รู้ด้วยตัวของมันเองว่ามันร้อนมันอ่อนมันแข็ง

นี่ มันก็ค่อยๆ ถอยทวนกลับมาลงถึงใจ...ใจที่มันเป็นแค่ดวงจิตผู้รู้เปล่าๆ ...เพราะนั้นน่ะ มันก็จะเห็นเข้าไปอีกว่า ความมีชีวิตจริงๆ นี่ มันคือตัวใจต่างหาก 

แต่มันเป็นความมีชีวิตที่ไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นบุคคล ไม่เป็นใคร ไม่เป็นอะไร ...มันเป็นความมีชีวิตที่มันบริสุทธิ์

พอมันรู้ พอมันเห็นในลักษณะนี้ แล้วก็รักษาด้วยความต่อเนื่องไป ...มันก็จะค่อยๆ ซึมซาบว่า นอกจากใจนี้ออกไป สิ่งที่อยู่หน้าใจนี้ออกไป สิ่งที่มันแวดล้อมใจนี้...ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต 

คือเป็นเพียงแค่ก้อนธาตุ...ทั้งรูปธาตุทั้งนามธาตุ ไม่มีความเป็นสัตว์เป็นบุคคล 

ชีวิตจริงมันมีที่เดียวคือใจ  แต่ว่าเป็นใจ...ที่ไม่ใช่เป็นชีวิตที่เป็นเพศเป็นบุคคล เป็นความบริสุทธิ์รู้ บริสุทธิ์เห็น เป็น alive ในตัวของมันที่ไม่ข้องแวะกับอะไรเลย 

เป็นความบริสุทธิธาตุ บริสุทธิธรรมในตัวของมัน ไม่เกาะเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเกาะเกี่ยว หรือทำลายความมีชีวิตของใจไม่ได้เลย

จึงเรียกว่าเป็นอมตะธาตุอมตธรรม เหนือกว่าธรรมชาติของขันธ์ ธรรมชาติของโลก ธรรมชาติของสามโลกที่มันเป็นสิ่งที่แวดล้อมใจอยู่ 

ไม่มีอะไรมาทำลายได้ ไม่เปลี่ยนแปลง ...เหนือความเปลี่ยนแปลง เหนือความมีตัวตน เหนือความเป็นสุขเป็นทุกข์ เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ ในสามโลก เหนือกฎของไตรลักษณ์


(ต่อแทร็ก 13/3)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น