วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 13/11 (1)


พระอาจารย์
13/11 (570221C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
21 กุมภาพันธ์ 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กค่อนข้างยาว แบ่งโพสต์เป็น 2 ช่วงบทความค่ะ)

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นการที่กลับมารู้ตัวนี่ เราถึงบอกว่า กายนี่...เป็นเราตรงไหน ...นี่ ดูตรงนี้ ความเป็นเรานี่ก็จะค่อยๆ เจือจางลง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเรามันเจือจางยังไง บอกให้เลย

แต่ให้สังเกตดู ...การที่รู้ตัวไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่ไปสีสากับความคิด การกระทำคำพูดของคนอื่นนี่ ...เหมือนกับปล่อย ช่างหัวมัน  

ต่อไปนี่ให้สังเกตเลยว่า ความเข้มข้นของอารมณ์ ทั้งยินดี ทั้งยินร้ายนี่...ในการเห็น ในการได้ยิน  จะน้อยลง จะไม่ค่อยเข้มข้นเหมือนเดิม

คือถ้าเห็นอย่างนี้...แต่ก่อนปกตินี่จะต้องมีอารมณ์ประมาณ ๘๐  แต่ต่อไปเห็นลักษณะแบบเดิมนี่ ต่อไปจะเหลือสัก ๔๐ โดยที่ไม่รู้เลยทำไม แบบ... เอ๊ะ มันน่าจะโกรธมากกว่านี้ ทำไมมันไม่โกรธเท่าเดิม


โยม –  มันจางลง

พระอาจารย์ –  เออ คล้ายๆ กับมันจางลง มันไม่เข้มข้น concentrate เท่าเดิม ...แล้วมันสามารถที่จะปล่อยผ่านได้ง่าย คือไม่เก็บมาครุ่นคิด ไม่เก็บมาหาถูกหาผิด


โยม –  จะมีเหมือน...นิดนึง แล้วก็ “อื้อ” เนี่ยค่ะ

พระอาจารย์ –  เออ สลัดทิ้ง สามารถสลัดทิ้งได้โดยที่ไม่อาลัยอาวรณ์ ที่จะต้องไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ หรือไปวิพากษ์วิจารณ์เพื่อจะหาว่า...มันใช่หรือไม่ใช่ มันถูกหรือมันผิด 

การไปหาเหตุหาผลว่า 'แล้วมันจะให้ผลดีกับเราไปข้างหน้ามั้ย จะให้ผลร้ายกับเราข้างหน้าต่อไปมั้ย' มันจะไม่มี มันจะน้อยลงๆ บางลงไปเรื่อยๆ ...เนี่ย คือผลของการที่กลับมาอยู่ในหลักของศีลสมาธิปัญญา


โยม –  มันเหมือนว่า งานตรงนี้สำคัญกว่าค่ะอาจารย์  เหมือนว่าอันนั้นสาระมันน้อยกว่าข้างใน เพราะตรงนี้มันเหมือนยังไม่เสร็จงาน

พระอาจารย์ –  อือ ไอ้นอกจากนี้ไปน่ะคือกะโหลกกะลา ไม่มีสาระ มันเริ่มมองเห็นเป็นของต่ำ ของไร้ค่าไปเรื่อยๆ  ...อันนี้เฉพาะเรื่องทั่วไปนะ ยกเว้นคนที่ใกล้ชิด ยังติดอยู่


โยม –  ยังต้องมีภาระ

พระอาจารย์ –  เออ อันนี้ยังขาดไม่ได้เลย ...มันก็รู้สึกว่าหนัก เป็นภาระอยู่ แล้วมันไม่กล้าวาง และมันไม่ยอมวาง เข้าใจมั้ย นี่คือวิบากที่เราสร้างขึ้นมาเองโดยเจตนา 

อยู่คนเดียว อยู่ดีๆ มาหาเรื่องแต่งงานใช่มั้ย  แต่งงานแล้วอยู่ดีๆ อยากมีลูกอีก ...มันเจตนาใช่มั้ย เป็นการประกอบกรรมใช่มั้ย ด้วยเจตนาใช่มั้ย


โยม –  ใช่ ค่ะ

พระอาจารย์ –  เพราะนั้น วิบาก...รับผล  ...ทีนี้จะวางก็วางไม่ได้แล้ว มันเหมือนพันธนาการเลย  

เราก็จะต้องอยู่จนกว่า เนี่ย จนหมดวาระวิบากของกรรม ... เพราะนั้นพันธนาการของลูกนี่ จนกว่ามันจะเรียนจบ ทำงานน่ะ ถึงจะวางมือได้ในระดับนึง

ถ้ามีปัญญามันก็จะวางเร็ว แต่ถ้ายังไม่มีปัญญา ยังห่วงไปถึง มันจะแต่งงานกับใคร มันจะทำงานได้เงิน มันจะเลี้ยงตัวได้มั้ย ไอ้นี่เขาเรียกไม่มีปัญญา มันสมควรวางได้ก็วางเลย

แต่ตอนนี้ยังวางไม่ได้ เหมือนกับเป็นภาระ ยังเรียนก็ไม่จบ ยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย นี่ ชีวิตข้างหน้าจะเป็นยังไง ...เราจะต้องผูกคิดผูกกังวลอยู่อย่างนี้  

นี่คือผลของการที่เราสร้างมันมา เราสร้างภาระขึ้นมาเองด้วยความโง่ นึกว่าจะสุข นึกว่าอยู่คนเดียวเหงา อยู่คนเดียวแล้วจะลำบาก ก็เลยหาผัวซะหน่อย...เป็นเพื่อน

ความคุ้นเคยๆ มันรู้สึกสบายใจมีความสุข ได้เห็นได้เจอ นี่ มันก็เลยไปผูกสมัครกันขึ้น ...ทีนี้มันเป็นพันธจิตแล้ว จะทิ้งก็ไม่ได้ กูทิ้งมันไม่ทิ้งกูก็ได้ หรือมันทิ้งกูกูก็เสียดายมัน ก็อีก เห็นมั้ย 

พอตอนนี้เราเริ่มปฏิบัติ เราจะทิ้งมัน มันไม่ยอมทิ้ง ก็ยุ่งอีก  เห็นมั้ย มันติดอีรุงตุงนังเลยนี่ ...คราวนี้ก็ต้องทนอย่างเดียว ก็ต้องภาวนาโดยภาวะที่ว่า...เออ ยอมๆ กันไป อยู่กันไป เท่าที่จะทำได้ดีที่สุด  

แต่ว่าจะไม่เข้าไปแนบแน่น อย่างเก่าอย่างเดิม ไม่ต้องไปอธิษฐานชาติหน้าขอให้เจอกันใหม่นะ ...ก็อยู่กันไปตามวาระ ถือว่าชดใช้กันไป


โยม –  ค่ะ

พระอาจารย์ –  ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่ได้แสดงความผูกพันมั่นแน่นขึ้น ...กลางๆ ไว้ กลางๆ ไว้ แล้วทุกอย่างมันก็จะค่อยๆ คลี่คลาย โดยที่ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันเป็นกิจจะลักษณะอะไร 

ก็อยู่ไปๆ ค่อยตลบ ต่างคนต่างจะหมดกันไป มันก็ไม่ผูก มันก็คลายออก ค่อยๆ คลายออก ...จิตเนี่ย มันคลายเมื่อไหร่ มันก็คลายออก ทีนี้ก็มุ่งมั่นอยู่ภายใน มากขึ้นๆ มันก็ไม่เอามาเป็นธุระจนเกินไป  

แต่ไม่ใช่ว่าสลัดทิ้งเลยนะ เหมือนไม่เอาธุระเลย ก็ไม่ได้ ... เหมือนกับแม่นี่ จะสลัดทิ้งเลยก็...จะได้ยังไง จะไม่ดูดำดูดียังไง มันไม่ได้น่ะ มันผิดธรรมเนียมโลก

แต่ว่าไม่จริงจังจนเกินไปแค่นั้นเอง ไม่ถึงขั้นคร่ำครวญตีโพยตีพาย ปริเทวนา คับแค้น อุปายาสอะไรถึงขนาดนั้น ก็ตามเหตุปัจจัยอันควร แต่ว่าไม่ใช่ไม่ดูดำดูดีหรืออยู่ในภาวะที่นิ่งดูดายเลย  มันก็ทำไปตามหน้าที่  

แต่ว่าตรงนี้มันจะเพิ่มความสำคัญมากขึ้น...คือการรู้ตัว ทุกอย่างจะทำด้วยความรู้ตัวหมดเลย  เพราะนั้นดี-ร้าย ถูก-ผิด ชั่ว-ไม่ชั่ว ชอบ-ไม่ชอบ ดั่งใจ-ไม่ดั่งใจใคร ...รู้ตัวเข้าไว้ แล้วก็ทำไปเถอะ ไม่เป็นไร

เพราะอะไรก็ตามที่มันทำอยู่ด้วยความรู้ตัว มีศีลสมาธิปัญญาอยู่ภายในนี่  มันไม่เป็นการกระทำพูดคิดที่เป็นไปด้วยความผูกและติด เหมือนที่เราเคยทำพูดคิดโดยที่ไม่มีศีลสมาธิปัญญาอยู่ภายใน

ไอ้นั่นน่ะยิ่งกว่ากาวตราช้างอีก...ติดปุ๊บแป๊ะเลย เหมือนโซ่ เหมือนขอ เหมือนเบ็ดเกาะเลย ...แต่ตอนนี้เราก็ไม่ต้องไปทำเป็นไม่พูดไม่ทำไม่ข้องแวะอะไรเลย ก็ทำเหมือนเดิมเหมือนปกติ 

แต่ทำทุกอย่างด้วยความรู้ตัวเอง ตรงนั้นแหละมันจะคลายออก มันเป็นการทำเพื่อคลายออก โดยที่ว่าไม่ต้องไปคลายด้วยการ... 'เออ หนีไปบวชดีกว่ามั้ย' 

หรือว่าไปหาที่อยู่คนเดียวเลยแล้วก็ไม่ต้องเจอหน้าผู้คน ...ไม่ต้องทำอย่างนั้น เข้าใจมั้ย อยู่เหมือนเดิมนี่ ไม่ต้องคิดด้วย ...แต่ว่าทุกอย่างให้ทำด้วยความรู้ตัว

จะยืน จะเดิน จะพูด จะคุย จะมีความสัมพันธ์กันข้องแวะกัน รู้ตัวเข้าไว้ ...ไม่ต้องกลัวว่ามันจะติดหรือว่าเกิดความเอิบอาบซาบซ่านในสุขเวทนาที่ได้ แล้วก็ติดข้องในสุขเวทนาในการเห็นในการได้ยิน...ไม่มี  

นี่มันจะเป็นตัวที่ชะลอ แล้วก็เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญาหมด ...เพราะนั้นศีลสมาธิปัญญาเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต...จะต้องเอามาใช้ในชีวิตให้ได้ 

โดยไม่มีข้ออ้าง โดยไม่มีสถานที่ โดยไม่มีเวลา โดยไม่มีว่าขณะนี้กำลังมีอารมณ์...ไม่เอาอ่ะ ขอทำตามอารมณ์ไปก่อน ...อย่างนี้ไม่ได้ 

ขณะนี้กำลังเจอเหตุที่มันต้องคิดต้องอะไรอย่างมากนี่ แล้วก็บอกว่ารู้ตัวไว้ทีหลัง ...ไม่ได้ จะต้องสอดแทรกความรู้ตัวตรงนั้นให้ได้ โดยไม่มีข้ออ้าง

แล้วทุกอย่างนี่ มันจะเกิดปัญญาขึ้นจากการกระทบนั่นแหละ จากเหตุภายนอกนั่นแหละที่มันกำลังมีเรื่อง ที่กำลังเป็นทุกข์บ้าง เป็นสุขบ้างก็ตาม

สุดท้ายมันจะกระทบมาเจอที่เดียว...“เรา” นี่แหละๆ ปัญหา ...เขาไม่ใช่ปัญหาน่ะ คนนั้นคนนี้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ใช่ปัญหา ... “เรา” นี่แหละปัญหา  สุดท้ายมันจะพ้องเห็นตรงนี้เลย มันมีอยู่เหตุเดียวเท่านั้น

พอมันเห็นตรงนี้ปุ๊บ มันก็จับเลย จับที่ “เรา” เลย แล้วมันก็จ่อลงที่ “เรา” เลย ...ไม่ไปจ่อที่เหตุภายนอกแล้ว ไม่ไปจ่อที่เรื่องราวแล้ว 

มันจะมีก็มีไป จะตั้งอยู่ก็ตั้งไป มันจะไม่เลิกพูดก็พูดไป มันยังพูดซ้ำๆ อย่างนี้ก็ปล่อยมันไป ...แต่มันจ้องจรดอยู่ที่เหตุคือ "เรา" ...คือกายคือรู้ แล้วมันมี “เรา”

ให้สังเกตเลย เมื่อใดที่มีความเป็น “เรา” ขึ้นมา แรงขึ้นมาเมื่อไหร่ อารมณ์ตรงนี้ก็จะแรง ความโกรธก็จะแรง ความชอบก็จะแรง เนี่ย  

แต่พอ “เรา” ตรงนี้มันหายไป เหลือแต่รู้ชัดๆ กับกายชัดๆ ...ไอ้อาการนั่นจะหายไป เหมือนไม่มีอะไรเลย


โยม –  บางทีมัน พุ้บ มันกลับมาอัตโนมัติ

พระอาจารย์ –  เออ ให้มันเป็นอัตโนมัติยิ่งดี


โยม –  มันก็เหมือนมันจาง แล้วสวิทช์มันตัด แต่ก็รู้ๆ รู้ไว้ก่อนอย่างนี้ค่ะ

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะลงฐานนี้ไว้ แล้วต่อไปมันจะกลับมาแก้ที่เราหมดเลย ไม่ไปแก้ที่คนอื่น 

ไม่ไปแก้ด้วยการกระทำ พูด คิด ใดๆ เลย...เพื่อให้คนอื่นเขารับรู้ด้วยว่า “เออ มึงทำผิดนะ อย่าทำอย่างนี้นะ ต้องเปลี่ยนใหม่นะ” 

มันไม่ไปทำอย่างนั้นเลย ปล่อยเลย ปล่อยไปตามเรื่องของมันเลย ไม่เอามาเป็นเรื่องเลยแต่ตรงนี้ เป็นเรื่องของเราเลย


โยม –  ต้องรีบกลับมา

พระอาจารย์ –  กลับมาตรงนี้ เนี่ย รักษากายใจอยู่อย่างนี้ ...แล้วก็คอยสังเกตว่า ความเป็นเรานี่มันเข้มขึ้นมั้ย มันโผล่หน้าขึ้นมามั้ย มันมีความรู้สึกเป็นเราปรากฏชัดเจนขึ้นมามั้ย 

ถ้ามีความรู้สึกเป็นเราชัดเจนขึ้นมาเมื่อไหร่ อารมณ์มันจะชัดหมดเลย จะแรงตามเลย ...เหมือนกับเป็นปฏิภาคซึ่งกันและกันเลย


โยม –  ค่ะ มันจะอย่างงี้ๆ กันเลย  ถ้าเรารู้ตัวชัด เราก็จะเห็นกายชัดด้วยนะคะอาจารย์

พระอาจารย์ –  ใช่ รู้ตัวชัด...“เรา” น้อย อารมณ์น้อย ... นี่ มันตรงข้ามกัน  

เพราะนั้น จำไว้ให้ดี จดจำไว้ว่าหลักนี่ แก้ได้ทุกเรื่อง แก้กิเลสได้ทุกตัว โดยที่ไม่ต้องไปหกคะเมนตีลังกาหาวิธีการอะไรเลย เข้าใจมั้ย 

ยังไงก็เหมือนเดิมน่ะ ก็แก้ที่เดิม ก็แก้แบบเดิมน่ะ โดยที่...ตรงนี้ที่เดียว แก้ได้หมด เหมือนกับเขาเรียกว่าเป็นยาแบบ...กินกะไดทากะได


โยม –  อ๋อ ได้ทุกโรค

พระอาจารย์ –  เออ ได้ทุกโรค เข้าใจมั้ย นี่คือธรรมโอสถ


โยม –  หนูก็ว่า ถ้าไม่ได้ตรงนี้ หนูคงแย่

พระอาจารย์ –  อือ มันหลายเรื่อง


โยม –  เพราะว่าได้ตรงนี้ค่ะ ดีที่แบบได้อาจารย์

พระอาจารย์ –  เนี่ย แล้วให้เชื่อ เกิดความเชื่อมั่นในศีลสมาธิปัญญา มากขึ้น  จนศีลสมาธิปัญญาเป็นหลัก  แล้วก็ใช้หลัก แล้วก็อยู่กับหลักนี้ จนมันได้หลัก จนไม่ปล่อยจากหลักนี้เลย

นั่นแหละ แล้วทุกอย่างก็เรียกว่า มันก็จะเป็นไปตามครรลองของมรรค ความรู้ความเข้าใจ ที่มาที่ไปของกิเลส ที่มาที่ไปของเรื่องราว อะไรเป็นต้นสาย อะไรเป็นปลายเหตุ มันรู้หมด มันจะเข้าใจในตัวของมันเอง

แล้วมันจะเห็นเลยว่า แต่ก่อนเรานี่โง่มากๆ โง่จริงๆ เดี๋ยวนี้ไม่โง่แล้ว ไม่โง่เหมือนเดิมแล้ว ...แต่ก็ไม่ไปเทียบใครนะว่ามันฉลาดกว่าใคร แต่มันจะเทียบกับตัวเองว่า กูฉลาดกว่าเดิมโว้ย


โยม –  เข้มแข็งขึ้นด้วยค่ะอาจารย์

พระอาจารย์ –  เออ ถ้าเป็นแต่ก่อนนี่ ...กูจะแก้แบบนี้ แล้วกูก็ร้องไห้ทุกครั้งน่ะ แล้วกูก็เสียใจทุกครั้งเลย ...แต่ครั้งนี้กูไม่แก้อย่างนั้น 'เอ๊ะ ฉลาดขึ้น แล้วมันแก้ได้ด้วย' 

เออ แล้วก็ดูเหมือนแก้ได้ง่ายๆ ไม่ได้ลำบากยากเข็ญอะไรเลย ...เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย แค่กลับมารู้อยู่ที่นี้ที่เดียว พอรู้อยู่ที่เดียว มันก็มีจิตเดียว มันก็จะไม่มีจิตสองที่เป็น "เรา" ขึ้นมา

ถ้ามันเป็นจิตหนึ่งก็มีแต่รู้ ถ้าเป็นสอง ตัวแรกที่เป็นสองก็คือ “เรา” ...นี่ กายสังขาร จิตสังขารก็ขึ้นมาเป็น “เรา” ขึ้นมา ...ถ้ามันเคลื่อนออกมาเมื่อไหร่ จิตมันออกมาพร้อมกับ “เรา” เลย 

ความรู้สึกจะเป็น “เรา” อันดับแรกเลย ...แล้ว “เรา” ตัวนั้นน่ะ จะเป็นตัวบ่งบอก ชี้นำ ให้ทำพูดคิดเพื่อให้ได้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งมาเป็นที่เสวย คือ เวทนาในเรา

เมื่อมีความรู้สึกเป็นเราปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ มันจะหา...เหมือนมันเป็นเด็กน้อยผู้หิวโหย มันจะต้องมีอารมณ์เป็นที่ส้องเสพ ...หรือไม่มีมันก็สร้างขึ้นมาเอง สามารถสร้างอารมณ์ขึ้นมาเองด้วยนะ...เรานี่ 

อยู่ดีๆ ก็ขุ่นขึ้นมาแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ อยู่ดีๆ ก็เศร้า อยู่ดีๆ มันก็หมองขึ้นมาอย่างนี้...โดยที่ไม่มีใครทำอะไรให้นะ มันมายังไง เนี่ย


โยม –  บางทีก็สบายอะไรก็ไม่รู้

พระอาจารย์ –  เออ พวกนี้ คือความปรุงแต่งของจิตของเราทั้งนั้นเลย 

แต่เราไม่เห็นหน้าค่าตามัน เข้าใจมั้ย เราจะไม่เห็นหน้าค่าตาของเราอยู่ตรงไหนวะ เหมือนมันมาของมันเองลอยๆ มาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอย่างเนี้ย 

ทุกอย่างมีต้นสายปลายเหตุนะ ...แต่ว่าปัญญาของเรามันไม่เห็น มันไม่ถึง ไม่ถึงเหตุที่เป็นต้นตอของสภาวะจิต สภาวะธรรมารมณ์นี้

เพราะนั้นเมื่อไม่เห็นเหตุไม่ต้องสาว แล้วก็ไม่ต้องสงสัย ...ช่างหัวมัน รู้ตัวๆๆ รู้ตัวเข้าไว้ ตั้งมั่นอยู่ที่รู้ ตั้งมันอยู่ที่กายไว้ 

ทีนี้พอสมาธิมันมากขึ้นเรื่อยๆ ปุ๊บ มันจะเห็นเลย ความเนืองนองของอารมณ์ มันออกมายังไง ...มันเคลื่อน มันขยับ  

แค่เคลื่อน แค่ขยับจากรู้นี่ มันเห็นเลยว่าความเป็นเราเกิดขึ้นพร้อมกับอารมณ์เลย มันจะเห็น ...พอมันเห็นปุ๊บ...ดับปั๊บเลยตรงนั้น ... เขาเรียกว่าดับ ณ ที่เกิดเหตุ...ดับ ณ ที่เกิดเหตุตรงนั้นเลย 

แต่ถ้ารู้อย่างพวกเรา ในระดับเด็กๆ นี่ ...


โยม –  มันต้องทิ้งช่วง

พระอาจารย์ –  นานๆ จะเห็นสักครั้ง เข้าใจมั้ย

โยม –  ค่ะ


พระอาจารย์ – แล้วก็ได้แบบฟลุ้คๆ เหมือนกับ...เอ๊อะ มันได้โดยที่ไม่ได้ตั้งใจเลย  มันก็เห็นทัน แล้วก็ดับ วับ  แล้วก็รู้สึกว่าอยากให้มันเป็นนานๆ อยากให้มันเป็นทุกครั้ง ...แต่ก็ไม่เห็นนะ


(ต่อแทร็ก 13/11 ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น