วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 13/5


พระอาจารย์
13/5 (570209E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
9 กุมภาพันธ์ 2557



พระอาจารย์ –  เพราะนั้นการภาวนามันสำคัญที่ความเพียร...เพียรทำสติที่ไม่มีให้มันมีขึ้นมา เพียรรักษาสติที่มันมี...คือที่มันไม่มีแล้วมันมีขึ้นมานี่  ก็เพียรรักษาให้มันมีต่อเนื่อง  

เมื่อมันมีต่อเนื่องแล้ว ก็เพียรที่จะทำให้มันมีมากขึ้นไปอีก ...ในขณะเดียวกัน ก็เพียรที่จะไม่ให้มันน้อยลงกว่าเดิม ...นี่ ความเพียรทั้งนั้น

สติ...ทำไมพูดถึงแค่สติ ...เพราะสติมันเป็นธรรมพี่เลี้ยง ที่จะโอบอุ้มประคับประคองศีลสมาธิปัญญาขึ้นมา  เพราะนั้นตัวสติที่มันจะโอบอุ้มศีลสมาธิปัญญาขึ้นมานี่ สติตัวนี้เรียกว่าสัมมาสติ 

เพราะนั้นไอ้ที่เราบอกนี่ เราบอกเพื่อให้เกิดความเป็นสัมมาสติ คือให้มันไปโอบอุ้มองค์กายองค์ศีลนี้ขึ้นมา ...สตินี้ก็จะกลายเป็นสติที่เป็นสัมมา ไม่ใช่มิจฉาหรือโมหะสติ ซึ่งมันจะไปโอบอุ้มอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ 

คือสติมันเป็นธรรมที่โอบอุ้มอยู่แล้ว แต่มันจะไปโอบอุ้มธรรมไหนขึ้นมาก็ไม่รู้ถ้ามันเป็นมิจฉาหรือโมหะ ...แต่ถ้ามันเป็นสัมมา มันจะไปโอบอุ้มศีลสมาธิปัญญา ซึ่งมันเป็นครรลองหรือวิถีแห่งมรรคให้ปรากฏ  

เพราะนั้นก็เพียรเจริญสติขึ้นมาในปัจจุบันกาย ...ไม่ต้องหลายกาย ไม่ต้องหลายธรรม ไม่ต้องหลายฐาน ...ที่เดียว กายเดียว ปัจจุบันเดียว กายอยู่ไหนในปัจจุบันนั้น...ก็กายนั้นแหละใช่

จะชัดก็ตาม จะนิดก็ตาม จะได้แค่กระผีกริ้นนึง จะได้แค่วอบแวบๆ ก็ถือว่าใช่  จะเป็นส่วนบนส่วนล่าง ส่วนหน้าส่วนหลังของกาย ของความรู้สึกในกายตรงไหนก็ได้...ใช่ทั้งนั้น 

ตีมันดะลงไป สอดแทงมันลงมาด้วยสติ หยั่งลึก ทะลุเมฆหมอกความมึนมัว อึมครึม ที่มันห่อหุ้มไว้เข้ามา ...มันจะลำบากนิดลำบากหน่อย ทนเอา 

มันจะขัดอกขัดใจหน่อยที่ไม่ได้โกรธแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้ามันไม่ได้ไปเสพข้องกับความโกรธความอยากด่าแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เพราะต้องด่าแบบยั้งๆ อยู่นี่ ก็ทนเอา

ไม่ได้ดีใจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ทนเอา กลัวขาดทุนก็ทนเอา ถ้าไม่ได้ไปเสพส้องกับความสุขแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วกูรู้สึกขาดทุนก็ทนเอา 

คือถ้ามันมีสติอยู่ในกายนี่ ทุกอย่างนี่มันจะถูกชะลอหมด  ...แต่ว่าไอ้สันดานนี่มันจะเอาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยในกิเลส มันรู้สึกขาดทุน เสียเปรียบ ...ก็ทนเอา ยอมเสีย

ถ้าเสียผัวก็ไม่ได้ลูกล่ะวะ ถ้าเสียเมียก็ไม่ได้ลูกเหมือนกันล่ะวะ ทำไมถึงไม่ได้ลูก ไม่ได้ลูกแล้วดียังไง คือไม่มีผู้สืบทายาทอสูร ใช่มั้ย ก็ยอมเสียหน่อยสิ 

จะรักเมียรักผัวขนาดไหน เออ ห่างๆ กันหน่อย อยู่ใกล้ชิดกันแล้วมันจะเกิดลูก พอเกิดลูกแล้วมันจะเกิดหลาน ...ทายาทอสูรทั้งนั้นในผลงานที่ออกมา 

ไม่ใช่เป็นผลงานอันวิจิตรบรรจง หรือว่าเป็นองค์มรรคองค์ธรรมนะ แต่เป็นทายาทอสูร ทายาทพญามาร ธิดาและบุตรพญามาร ... เพราะนั้นก็ยอมเสียไป ...เนี่ย ท่านเรียกว่าสละ หรือจาโค

ไอ้ตรงสละหรือจาโคนี่น่ะ...ยาก  เพราะมันรู้สึกเสียหน้า รู้สึกคุณค่าของตัวเองนี่มันน้อยลงไป  ถ้าสมมุติว่าไปเที่ยวมาก็ว่า "เธอมีความสุขมั้ย ชั้นมีความสุขมากกว่าเธอ เธอยังสุขไม่เท่าชั้น" นี่ มันจะแข่งกันสุข

แข่งกันทุกข์อีก ...นี่ เวลาเล่าเรื่องทุกข์ มันก็บอก "อู้ย หนู..ชั้น...อาตมา ทุกข์กว่าเธอทั้งหลาย ทุกข์กว่าโยมตั้งไม่รู้กี่เท่า" ...คือจะคุยว่ามึงยังทุกข์ไม่จริงเท่ากูหรอก 

อะไรจะปานนั้น ...จะไปเก็บมันไว้ทำพระแสงอะไร สัญญานี่ ...เข้าใจคำว่าสัญญาก็คือสัญญามั้ย จะเอามาอวด จะเอามาอ้างกันทำไม มันไม่มีอะไร

สละความมีหน้ามีตา มีตัวมีตนของเรา ที่ว่า...เออ เวลาได้ความรับความสมเพชขึ้นมาเยอะๆ แล้วรู้สึกมีหน้ามีตามีความสำคัญขึ้น หรือมีความสุขมากกว่าเขา

ก็รู้สึกว่าเป็นที่โดดเด่นขึ้นมา เป็นเอตะทัคคะ ขึ้นมาว่ามีความสุขกว่ามึงนะ ...อวดกันๆ ... นั่น มันอวดหน้าตา หน้าตาตัวตนของเรา พยายามยกระดับให้มันเลิศเลอเลิศลอยขึ้นมา

มานะ ทิฏฐิ อัตตา ก็พยายามกดๆ ลงไว้หน่อย ซอฟท์ๆ ซอฟท์ลง ...รู้จักเจาะลมยางมันซะบ้าง อย่าให้มันฟูฟ่องขึ้นมา โดดเด่นเป็นเอกขึ้นมา  

ไม่ต้องให้คนอื่นมาตบมันหรอก ตัวเองต้องตบตัวเองเอาไว้ ชะลอไว้ อดทนไว้ ...อย่าให้มันหืออือขึ้นมามาก ถึงขั้นเต็มอกเต็มใจยินยอมไปกับมันน่ะ

ตรงเนี้ย มันยากตรงเนี้ย เพราะมันเป็นความคุ้นเคยอย่างยิ่งในกิเลส ...แต่ความคุ้นเคยในมรรคไม่ค่อยมี ไม่รู้จัก และรู้สึกว่ามันเป็นตัวขัดขวางความสุขซะอีก 

รู้สึกมันเป็นตัวขัดขวางการกระทำไปตามอารมณ์เสียอีก ...เพราะมันเข้าใจว่าเวลากระทำไปตามอารมณ์แล้วมันได้อะไรกลับคืนมาคืออำนาจ มันเหมือนมันมีอำนาจ

พระพุทธเจ้าบอกยังไง "อำนาจของทารกน่ะ"  คืออะไร รู้จักมั้ย...ร้องไห้  "อำนาจของสตรี" คืออะไร ...มายา ความมีมายา นี่ พวกนี้จะถือเป็นอำนาจหมด 

แล้วมันรู้สึกว่าตัวเรานี่มันมีคุณค่าขึ้นมา เป็นที่ยอมรับหรือเป็นที่เกรงขาม  แล้วก็พยายามอุ้มชูไว้ และไม่ยอมให้ใครมาทำลาย ...นี่ มันมีอาณาเขต  เหมือนหมาที่มันฉี่รอบบริเวณ...ว่าอาณาเขตกูนะ ถ้าใครเข้ามากูกัด 

เนี่ย มันมีอาณาเขตของเรา ...แต่มันเป็นอาณาเขตที่เป็นทุกข์  เพราะทุกคนมีความเป็นเราเหมือนกัน ...มันจะเหยียบตาปลากันตลอด มันจะล่วงเกิน ล่วงล้ำก้ำเกินกันอยู่โดยการสัมผัสสัมพันธ์กัน 

นี่เป็นธรรมชาติของการเกิดมีหูมีตามีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจ มันจะต้องมีการสัมผัสสัมพันธ์กัน ...แต่ว่ามันไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์กันแค่นี้ ...มันมีความรู้สึกอย่างนึงที่มันมีอาณาเขตแล้วมันรู้สึกว่าก้าวล้ำกันไม่ได้ 

มันไม่ได้เป็นการสัมผัสกันแบบตรงตามธรรม หรือจริงต่อธรรม ที่เป็นแค่ผัสสะแค่นี้  นี่...ถ้าอาณาเขตใครกว้าง "เรา" ก็หนักหน่อย  ถ้าใครอาณาเขตน้อย "เรา" ก็น้อยหน่อย 

ซึ่งถ้าอาณาเขตมันเหลือแค่กายกับใจ...นี่ใช่เลย จะเห็นทางออกจากเรา ...แต่ถ้าเมื่อใดมันไปวนเวียนอยู่กับเรานะ ไปวนเวียนอยู่กับเขานะ ...มรรคมืดตึ้บ 

คือจะไม่เห็นทางออกจากเราเลย จะไม่เห็นทางออกจากทุกข์เลย ...แต่มันจะมีช่องทางหรือมีแต่เรื่องราวย่อย แยก ย่อยๆ ซอยๆ ไปแบบไม่มีประมาณ

ก็บอกแล้วว่าถ้าอยู่ในอาการนั้นน่ะ แล้วก็ปล่อยไปอยู่ในเราในเขาไปเรื่อยๆ อย่างนั้นน่ะ กว่าจะรู้ว่าไหนเป็นเส้นทางมรรค ไหนเป็นเส้นทางธรรมด้วยตัวของมันนะ...สี่อสงไขยแสนมหากัปเป็นอย่างต่ำ

และจะต้องมีตัวชี้นำคือจะต้องเป็นพระพุทธเจ้า มันถึงจะรู้ว่า...อ๋อ ไม่ใช่ อยู่ตรงนี้นี่เอง ...ถึงจะเกิดความเป็นสัพพัญญู แล้วก็รู้ด้วยตัวเองว่ามรรคอยู่ที่ไหน ออกจากทุกข์ได้อย่างไร 

ขั้นต่ำก็สี่อสงไขยแสนมหากัป ขั้นกลางก็แปดอสงไขยแสนมหากัป ขั้นสูงสุดก็สิบหกอสงไขยแสนมหากัป ...นี่คือแบบรู้เองน่ะ ไม่ต้องฟังธรรมเรา

แต่เห็นมั้ยว่า การมีพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ขึ้นมาในสามโลกธาตุ ช่วงหนึ่งเวลาหนึ่งนี่ มันเหมือนกับเป็นการลัดตัดตอน ที่บอกว่าอย่าไปทางนั้น ...อยู่ทางนี้ อยู่ที่นี่ 

เห็นมั้ยมีคนมาบอกให้แล้ว ...เออ กูนึกว่าจะไปสี่อสงไขยแสนมหากัป  ก็เหลือชาติเดียวยังได้ ...เห็นมั้ย มันสั้น

นี่คืออานิสงส์ของ พุทธะ ธรรมะ สังฆะ อานิสงส์ของไตรสรณคมน์ มันลัดเลยน่ะ ...ก็เหมือนกับเอาแผนที่มาให้เลย แล้วก็บอกว่า นี่ อยู่ตรงนี้ จะออกจากความวนเวียนในเราและเขาได้

ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ไปตาแตกหูแตกอยู่ในนั้นน่ะ เดินวนอยู่ในนั้น หาช่องคิดไป คิดไป ...เรื่องนั้นจบ เรื่องนี้มา  เรื่องนี้แก้ได้ เรื่องนั้นมาอีกใหม่ พอความเป็นเราตรงนี้วางได้ ตรงโน้นขึ้นมาอีกแล้ว 

ถ้าทำอยู่อย่างนั้นก็สี่อสงไขยแสนมหากัป ...ดีไม่ดีอาจจะเกิน เพราะไม่ได้ปรารถนาพุทธะ ถ้าปรารถนาพุทธะนี่ยังมีจำกัดลิมิท ...แต่อย่างต่ำสี่อสงไขย

ไม่ใช่บุญหรือไงนี่ ที่มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นี่มาบอก แล้วก็ตัดตอนให้ในช่วงนึง ...ช่วงห้าพันปีนี่ที่มันหมุนวนอยู่ในห้าพันปีนี่ 

เพราะถ้ามันเกิดมาในห้าพันปีนี่ มันจะได้ยินซ้ำซากแต่ศีลสมาธิปัญญาๆๆ  การภาวนาอยู่ที่นี้ การภาวนาอยู่ที่ปัจจุบัน การภาวนาอยู่ที่กายใจ  มันได้ยินซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ...แค่ห้าพันปีช่วงนี้นะ

แล้วมันสักแต่ว่าได้ยินนั่นน่ะ มันก็เลยฟังจนชาชิน แล้วก็ดูเหมือนกับไร้สาระ ...คือชาติที่แล้วก็ฟังมาอย่างนี้ ไม่ใช่ไม่ฟัง  แล้วฟังก็ไม่ใช่ไม่เข้าใจ ไม่เคารพ ...แต่ว่าหนูเอาขึ้นหิ้งไว้ บูชา 

ของดี ของสูง บูชาไว้ก่อน ...เกิดมาใหม่ ยังอยู่ในวงจรห้าพันปี ก็ได้ยิน ศีลสมาธิปัญญาๆๆ นั่งรู้ ยืนรู้ นอนรู้ ...อือ เข้าใจ ถูกจริต ใช่เลย  ขึ้นหิ้งไว้อีก

ระวังมันจะสี่อสงไขยนะ ...เห็นมั้ย พอมันปรารถนา  สมมุติปรารถนานะ พอไป ก็ เออ ชั่งมัน ปล่อยไปตามยถา จิตจะไปก็ไป ...มันก็จะหลุดไปเป็นสี่อสงไขยแสนมหากัป 

แล้วมันก็เริ่มรู้สึกอยากพ้นทุกข์ นั่นจิตมันจึงเริ่มปรารถนาพุทธภูมิ เป็นโพธิสัตว์ ...พอทำไปๆ กูเริ่มช้า เริ่มนาน เริ่มยาก ...ไม่เอาแล้ว เริ่มหาสังฆะ ...นี่ เป็นอริยสงฆ์ เพราะมันไปไม่ไหวแล้ว 

แต่เริ่มแรกนี่จะไปเองไง ทุกคนนะมีจิตเป็นโพธิสัตว์แหละ แต่กู “โห ทำไมมันนาน ทำไมมันทุกข์เหลือเกิน ทำไมออกไม่ได้สักทีวะ หาพระดีกว่ามั้ย” นี่ มันก็เริ่มหาพระ เริ่มหาช่องทางลัด 

มันก็ร้องแหงนคอเหมือนหมาเห็นเครื่องบิน เพราะมันไม่ได้เกิดในช่วงที่มีศาสนา เข้าใจรึเปล่า เหมือนฤาษีอยู่ตามดอยเชียงดาวนี่ อยู่ตามถ้ำนี่ หลับหูหลับตาๆ ไม่รู้ศาสนาอยู่ไหนไม่รู้ 

คือกูจะไปหาหรือก็ไม่รู้จัก กูอยู่ป่าสบายกว่า ...การติดต่อสื่อสารกับโลกไม่มี เน็ทไม่มี พอดีไม่มีไฟฟ้า ไลน์ก็ไม่มี เฟสก็ไม่มี หลับหูหลับตาอยู่นี่ ...ก็ไม่ผิดนะ ก็มันไม่รู้จะไปไหนน่ะ

แต่มันมีเป็นจังหวะบางช่วง พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อยู่ชมพูทวีป อินเดีย ก็พาลูกศิษย์มาเป็นโขยงเลย... ซึ่งคงไม่ได้เดินมาหรอกเพราะมันไกล น่าจะเหาะวูบมา 

เหาะมาทำไม ...จะเอาตีนมาประทับที่พระบาทสี่รอยล่ะมั้ง ก็เลยต้องผ่านดอยเชียงดาว ...พอผ่านนี่ ไม่ใช่แค่พระพุทธเจ้ากับพุทธสาวก เทพเทวดาอินทร์พรหมก็อนุโมทนาสาธุมาตามลำดับลำดา สว่างไสว 

คือตาพวกเราคงมองไม่เห็นหรอก ...แต่ตาพระฤาษีท่านมองเห็น ว่ามันเอิกเกริกอะไรกันนักกันหนา กูกำลังหลับอยู่นี่ หลับในสมาบัติ ก็เลยสมาบัติแตก ลืมตาขึ้นมาดู...อะไรนี่ 

ก็เห็นความสว่างไสว เห็นความบริสุทธิธรรม เห็นความบริสุทธิ์ในการเดินการก้าวการผ่าน แล้วมีสิ่งแวดล้อมด้วยเทพและพรหม อย่างมากมายมหาศาล อนุโมทนาสาธุการร่ำร้องกันทั่วจักรวาล 

นี่ฤาษีท่านก็เกิดศรัทธา เริ่มมีใจน้อมเอียงว่า 'ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงเป็นที่เคารพมากมาย' ...ก็ปรารถนาที่จะเป็น ที่จะได้อย่างนั้น ...นี่จิตน้อม เริ่มปวารณาตัว 

นี่เขาเรียกว่าประกาศถึงพระสรณะ ถึงไตรสรณะ...โดยจิตนะ ... เพราะนัั้นนี่คือนิสัยที่ติด แล้วก็เป็นเหตุให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด เจอกับศาสนาพุทธ

แต่ไอ้พวกเราคงไม่ใช่ฤาษีแถวนี้หรอก (หัวเราะกัน) ...มันอาจจะเป็นคนตีผึ้ง หรือเป็นมด หรือเป็นแมงผึ้งที่มากินน้ำผึ้ง ที่ฤาษีไปเก็บมาแล้วก็โยนทิ้งไว้รึเปล่าก็ไม่รู้ มันถึงยากเย็น

นี่ กล่าวถึงการพัฒนาขึ้นของจิตที่เป็นไปตามลำดับ ...เข้าใจคำว่าพัฒนาขึ้นมั้ย ไม่ได้พัฒนาลงนะ ... ให้เห็นว่าการพัฒนาขึ้นนี่ จะพัฒนาจิตขึ้นมาตามลำดับ 

จะช้าจะนานขนาดไหน สัจจะธิษฐานเหมือนเข็มทิศที่ตั้งไว้ ไม่เปลี่ยน ไม่เบ้ออกไป ...ศรัทธาเหล่าดาบสฤาษีที่เห็นพระพุทธเจ้านี่ ถือว่าเป็นศรัทธาที่สูงยิ่ง 

ซึ่งไม่เหมือนเราเห็นพระอย่างนีี้หรอก นั่นท่านเห็นทั้งตาในตานอก ความอลังการของจิต ความอลังการของสิ่งแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลง จึงเกิดศรัทธามากมายมหาศาล

กอปรกับการบำเพ็ญในอดีตของตัวเองมา...ในลักษณะของจิตที่ฝึกมาเพื่อจะออกจากทุกข์เหมือนกัน แต่ว่าหาไม่ถูก หาไม่เจอ ...คือถ้าท่านทำไปเรื่อยๆ ก็เป็นปัจเจก เป็นพระปัจเจก ...ท่านก็ไม่ไปน่ะ 

พอมันเห็นว่ามีเหตุ ...เข้าใจคำว่ามีเหตุมั้ย ทุกอย่างมันมีต้นสายปลายเหตุ มีเหตุให้พระพุทธเจ้าท่านมา มีกรรมสืบเนื่องกันมา หมายความว่าคุ้นเคยกับพุทธะมาก่อน เคยเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับพุทธะ 

ไม่ว่าชาติใดชาติหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะเทศน์จะโปรดโดยไม่ได้แสดงธรรมหรือพูดก็ตาม แต่แค่เห็นแค่สัมผัสนี่...ถือว่าเป็นเครือข่ายญาณท่าน เครือข่ายของศาสนิก เครือข่ายของเวไนย 

นับหมด จะได้หมด ...นี่สุดท้ายก็ต้องมาเป็นเวไนยของท่านจนได้ เป็นสาวกเวไนยโดยปริยาย  ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพุทธเวไนยโดยตรง

เพราะนั้นการพัฒนาขึ้นน่ะ หมายความว่า อย่าให้มันตกต่ำ อย่าให้มันน้อยกว่าเดิมในศีลสมาธิปัญญา  ไอ้ที่ไม่มีก็ให้มันมี ไอ้ที่มันมีก็ให้รักษา ไอ้ที่มันรักษาได้แล้ว ให้มันมากขึ้นไป นั่นเรียกว่ามันพัฒนาขึ้น

ไม่ใช่เช้าชาม เย็นห้าชาม พรุ่งนี้อีกสักครึ่งชาม วันไหนลมดีก็ค่อยเอาสักช้อนนึง อะไรอย่างนี้ ...นี่เขาเรียกว่าจะได้ไปอยู่กับเทวทัตเป็นเพื่อน แล้วก็ไปเล่นน้ำกันในกระทะทองแดง ...เอางั้นรึเปล่า

คือไม่มีเจตนาจะลงไปหรอก ...แต่ด้วยความเคยชินของสันดาน...มันพาไปได้หมด เราไม่สามารถจะกะเกณฑ์ได้เลย 

ถ้ายังให้อารมณ์เป็นใหญ่ ถ้ายังให้กิเลสเป็นใหญ่ ...เราจะไม่สามารถกะเกณฑ์ได้เลยว่า มันจะพาเราไปเล่นน้ำสงกรานต์กับพระเทวทัตรึเปล่า ...นั่นน่ะน่ากลัว

เพราะนั้นต้องอยู่ด้วยศีลสมาธิปัญญานี่ เป็นหมุดมาตรฐาน เป็นหลักมาตรฐาน ยึดกายยึดใจปัจจุบันไว้ ...อย่าไปยึดกิเลส อย่าไปยึดอารมณ์ อย่าไปยึดเรื่องราว เสียง การกระทำคำพูดของสัตว์บุคคล 

ให้ยึดกายยึดใจของตัวเองไว้เป็นหลัก แล้วก็ทำความชัดว่ากายปัจจุบันจริงๆ มันคืออะไร ...จนมันชัดขนาดที่ว่า ชัดในที่ทุกสถาน ทุกกาล ทุกอารมณ์ ทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์

ทั้งดี ทั้งร้าย ทั้งเลว ทั้งยาก ทั้งลำบาก ...นี่มันชัด แจ้ง  จนมันไม่คลาดเคลื่อน ไม่เกิดความคลาดเคลื่อนจากศีล ไม่เกิดความคลาดเคลื่อนจากกาย ไม่เกิดความคลาดเคลื่อนจากปัจจุบันเลย

ทุกอย่างมันก็จะเป็นไปตามธรรม ตามครรลองของมรรค มีแต่ขึ้น ...ไม่ถอย ไม่กลับ ไม่ลง ไม่ต่ำ ไม่ตกต่ำ เหมือนในอดีตกาลมานั่นเอง

เอาแล้ว  ...เทศน์ถึงนรก เทศน์ถึงสวรรค์ เทศน์จนเลยนิพพาน เทศน์ไปเทศน์มา ก็ฟังกันว่ามันดี มันไปมันมา...ไม่ทำอ่ะ มาฟังครั้งหน้าต่อ (หัวเราะกัน)


..................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น