วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/25 (2)


พระอาจารย์
13/25 (570308C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
8  มีนาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 13/25  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  จิตพระอรหันต์นี่เป็นหนึ่งในอจินไตย ...อย่าคิด อย่านึกน้อม อย่าประเมิน อย่าคาดคะเน อย่าเอาอะไรมาเป็นสารานุกรมเทียบเคียง

พระพุทธเจ้าท่านบอก...อจินไตย เป็นอจินไตย  คือไม่สามารถ...ด้วยจิตปุถุ ในระดับปุถุนะ...จะไม่สามารถเทียบเคียงได้เลย ด้วยการคิดนึกน้อม

แต่ถ้าเป็นระดับอริยะจิตขึ้นไป...สามารถหยั่งถึง เข้าไปหยั่งสภาวะนั้นได้...ด้วยญาณ ...ไม่ใช่ด้วยเราคิด เข้าใจมั้ย

เพราะนั้นท่านจึงว่า...ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนี่ เรียกว่าได้กระแสหรือตกกระแสนิพพาน  จะหยั่งถึงสภาวะนั้นด้วยความเข้าใจบ้าง..พอเข้าใจบ้าง...ด้วยญาณนะ ไม่ใช่ด้วยเราอ่านหรือคิดพิจารณาเอา 

เพราะนั้น ถ้าเราสรุปได้ว่า “กูยังมีกิเลส” ก็ไม่ต้องคิดเลย ...ก็รู้ว่าเรากำลังมีกิเลส แล้วก็กลับมารู้ว่าเรากำลังนั่ง ...นี่คือหน้าที่การงานปัจจุบัน ...แค่นั้นเอง 

ไม่ต้องไปละเมิดธรรมอื่น ไม่ไปล่วงเกินในธรรมผู้อื่น ...ธรรมพระอรหันต์นี่ก็ธรรมผู้อื่นนะ กิเลสของคนก็เป็นธรรมผู้อื่นนะ ...ก็ไม่ละเมิดธรรมอื่น ไม่ล่วงเกินธรรมอื่นด้วยความคิด ทั้งในแง่ดี ทั้งในแง่ชั่ว

ก็มายุ่งขิงกับกิเลสตัวเอง ทำความแจ้งกับกิเลสตัวเจ้าของ...อันไหนเป็นกิเลส อันไหนไม่ใช่กิเลส ...และอยู่ยังไงที่ว่าอยู่แบบไม่มีกิเลส แล้วอยู่ยังไงเรียกว่าอยู่กับกิเลสบ้าง

แล้วอยู่ยังไงที่อยู่กับกิเลสแล้วมันทำท่าจะมีกิเลสมาก แล้วอยู่ยังไงมันอยู่กับกิเลสแล้วกิเลสทำท่าจะน้อยลง ...อย่างนี้เรียกว่าอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยมรรค อยู่ด้วยศีล ...มันจะเห็นตัวเองอย่างนี้

ถ้ามันเห็นอย่างนี้ปุ๊บ มันจะไม่ยอมหรอกที่จะอยู่ยังไงให้กิเลสมันมากขึ้น ทุกข์มากขึ้นพร้อมกิเลส ...คำว่าปัญญาก็คือปัญญา คือมันไม่โง่หรอก ที่มันจะไปอยู่แล้วก็อยู่ด้วยการสร้างหรือพอกพูนกิเลส

นี่คือสันดานใหม่ของพระอริยะ จะเกิดสันดานนี้ ...จะอยู่กับกิเลสไม่ได้ จะไม่เป็นไปเพื่อความเป็นทุกข์มากขึ้น ...จะอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกเป็นไปเพื่อกิเลสน้อยลง ทุกข์น้อยลง

และเพื่อความเป็นเราน้อยลงไปตามลำดับ ...นี่คือสันดานใหม่ที่เรียกว่า นิสยะ นิสัย หรือธรรมเนียม หรืออริยจิตที่เริ่มต้น ...นี่เขาเรียกว่าเปลี่ยนโคตร

เพราะนั้นพื้นฐานความคิด..เปลี่ยน  พื้นฐานความเห็น..เปลี่ยน  พื้นฐานอารมณ์..เปลี่ยน ...นี่เปลี่ยนแบบเปลี่ยนนามสกุลใหม่ ท่านเรียกว่าโคตรภูญาณ ข้ามโคตรปุถุชน

พวกเรานี่โคตรแซ่ปุถุชน แซ่กิเลส...วงเล็บด้วยนะ ราคะเป็นใหญ่ โทสะเป็นใหญ่ ...แต่ละคนนี่ วงเล็บไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน แต่แซ่เดียวกันคือแซ่กิเลส ปุถุ ...โคตรเดียวกัน

เพราะนั้นไอ้ตัวปุถุโคตรนี่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ยังเป็นโคตรที่ต่ำ ...ทำไมถึงต่ำ ...เพราะมันวนเวียนอยู่ในโลกสาม

ซึ่งโลกสามนี่ทำไมถึงเรียกว่าโลกสามต่ำ ...เพราะมันมีสิทธิ์สลับ สลับขึ้นสลับลงไปมาได้ ยังไงก็ต่ำ จะให้มันว่ามันสูง เดี๋ยวก็ต่ำ ...ท่านเรียกว่ายังเป็นโคตรต่ำ

เพราะนั้นการภาวนาก็พยายามที่จะยกระดับโคตรนี่ให้สูง ...พอข้ามโคตรนี้ได้นี่ หมายความว่าไม่ตกต่ำ ไม่วนเวียน จะไม่วนเวียนอยู่ในสามภพ

นิสัยก็จะเปลี่ยน  พื้นฐานเดิม พื้นฐานของการดำรงชีวิต...ไม่เป็นไปเพื่อการพอกพูนสะสมกิเลส จะเป็นไปเพื่อความพอกพูนสะสมศีลสมาธิปัญญา เติมเต็มซึ่งศีลสมาธิปัญญาขึ้นไปเรื่อยๆ

ทีนี้มันก็ชัดเจนไปในทางที่ว่า ศีลอยู่ไหน..จะเติมยังไงให้ศีลเต็ม  สมาธิอยู่ไหน..จะเติมยังไงให้สมาธิเต็ม  ปัญญาอยู่ไหน..จะเติมยังไงให้ปัญญาเต็ม ...นี่ ท่านรู้


แล้วถามว่าพวกเรารู้รึยัง หรือรู้บ้างแบบงูๆ ปลาๆ  เชื่อบ้าง..ไม่เชื่อบ้าง ...นี่ นี่คือสันดานที่ยังต่ำอยู่ โคตรยังต่ำอยู่  ความเห็นยังผีเข้าผีออก เข้าทางด้านนี้..เปลี่ยน เข้าทางด้านนั้น..เปลี่ยน ฟังอาจารย์องค์นั้น..เปลี่ยน ฟังอาจารย์องค์นี้..เปลี่ยน

นี่ เขาเรียกว่าเป็นพวกจับจด เป็นพวกคนจรหมอนหมิ่น ยังไม่มีบ้านเรือนเป็นหลักเป็นฐาน ร่อนเร่พเนจรไปมา เหมือนขอทานผู้ยากไร้ ขอเขากิน

กินอิ่มแล้วหมดไป หาใหม่ ...แล้วก็เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนคนให้น่ะ ยังหากินเองไม่ได้ ก็เลยสร้างบ้านเรือนของตัวเองไม่ได้ ...แค่พอกินกูก็จะตายอยู่แล้ว ไม่พอกินบ้าง พอกินบ้าง นี่ขอทาน

แต่ถ้าพอเริ่มสร้างบ้านได้ คราวนี้ก็สะสมทรัพย์ เรียกว่าเป็นเศรษฐี เริ่มเป็นผู้มีอันจะกิน ...นี่ เริ่มมีวิธีหาทรัพย์โดยที่ว่าไม่ต้องไปขวนขวายภายนอก

นี่เป็นผู้ลากมากดีขึ้นหน่อย เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทองที่หาได้เอง โดยที่ไม่ต้องชี้นิ้วบงการ โดยที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวไปทำงานภายนอก อยู่เฉยๆ ก็รวยขึ้นได้  แล้วมันดูเหมือนเป็นวิธีการลึกลับเฉพาะตน

ไอ้คนนอกเหรอ “ก็อยากเป็นน่ะเศรษฐี เห็นเขาไม่ได้ไปไหน แล้วทำไมรวยเอ๊ารวยเอาวะ” ...ไปถาม ท่านก็บอก แต่บอกยังไงก็ไม่เข้าใจ ...ก็ไม่รู้ไม่ได้ทำอะไร มันมีของมันเองน่ะ

เนี่ย มันเป็นเรื่องเฉพาะตน...ศีลสมาธิปัญญา ...รู้แล้วว่าเติมศีลยังไง เติมสมาธิยังไง โดยที่ว่าไม่ต้องไปไหน  อย่าว่าแต่ไปทำมาหากินหน้าที่การงานเลย ไม่แม้แต่กระทั่งนั่งสมาธิเดินจงกรมน่ะ


โยม –  ไม่นั่งสมาธิ ไม่เดินจงกรม

พระอาจารย์ –  เออ ทรัพย์ก็เพิ่มเอ๊าเพิ่มเอา ...ไอ้นี่ยิ่งงงหนักเลย ไอ้คนนอกนี่ ไอ้พวกขอทานที่มายืนมารับทานอยู่หน้าบ้านเรานี่ ...ก็รอให้เศรษฐีแจก อ่ะเอาไปๆๆๆ

แล้วก็ถาม “ท่านเอาที่ไหนมาแจกกันนักกันหนา”  ท่านก็จะบอกว่า...ทำไม มีอะไร กูมีไม่อั้น มีไม่จำกัด ไม่มีวันหมดน่ะ อัปปมาโน ธัมโม อัปปมาโนสังโฆ  ... มันมีของมันเอง

นี่ก็บอกว่า ทำยังไงมันถึงจะกลายเป็นเศรษฐีอย่างนี้ได้ ...ถ้าเป็นภาษาหลวงตาก็ต้องเรียกว่าเศรษฐีธรรม ใช่มั้ย 

เพราะนั้นไม่ใช่ว่าไปเรียนวิชาการแขนงใดแขนงหนึ่งจนจบปริญญาเอก แล้วก็ได้งานดีๆ ถึงจะรวย...ไม่ใช่ ...อันนี้เป็นวิชาที่เรียนทางพุทธศาสนา หรือวิชาของธรรมะ

ก็คือวิชาศีลสมาธิปัญญานั้นเรียกว่าวิชชา  เข้าใจคำว่า วิชชา ๓ มั้ย นี่ วิชชาจรณะ สัมปันโน วิชชาคือ ความรู้ ...ทำยังไงถึงจะทำให้เกิดวิชชานี้ขึ้นมา ก็คือศีลสมาธิปัญญา...มันเกิดวิชชา

เมื่อมันมีวิชชา มันมีความรู้ มันก็หาทรัพย์ภายในขึ้นมาเองได้ ...ศีลสมาธิปัญญานั่นแหละคือทรัพย์ และก็รู้ด้วยว่า...ทำยังไงถึงจะเรียกว่าไม่อับไม่จน หาได้ในทุกที่ ทุกสถาน ทุกกาล และทุกเมื่อ

ทั้งหลายทั้งปวงนี่คือที่ตั้งแห่งธรรม  ทั้งหลายทั้งปวงนี่คือที่ตั้งของทรัพย์ ...มันจะไปอดจนยังไง มันจะไปอับจนปัญญา อับจนศีล อับจนสมาธิยังไง...พอถึงขั้นนั้นน่ะ

มันล้วนแล้วแต่ธรรมที่เป็นที่ตั้งแห่งทรัพย์ทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นที่ตั้งแห่งศีลสมาธิปัญญาทั้งสิ้น ...นี่เข้าถึงมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา ทุกอย่างนี่ใช่หมดเลย เป็นของร่ำรวยในธรรมทั้งสิ้นเลย

แต่ถ้ายังไม่ถึงวิชชา หรือยังไม่ได้เรียนจนแตกแขนง จนแตกฉานในวิชชา ...ด้วยจิตที่ต่ำและทราม ยังหยาบ มันจะเกิดการคัด แบ่งสรรธรรม...นี่ใช่-นี่ไม่ใช่  นี่ดี-นี่ไม่ดี

แล้วมันหาธรรมที่มันว่าใช่ ว่าดี ไม่ค่อยเจอ  นานๆ จะเจอสักที แล้วก็หายไป แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาค้นหาใหม่ เลือกธรรม เฟ้นธรรมกันไปมา

แต่ถ้าได้วิชชา แตกฉานในวิชชาแล้ว ท่านจะไม่เลือก ท่านจะไม่เฟ้นธรรม ...ทุกอย่างเป็นธรรม ทุกอย่างเป็นที่สร้างขุมทรัพย์ 

เป็นที่เกิด บ่อเกิดแห่งขุมทรัพย์  เป็นที่บ่อเกิดแห่งความรู้เห็นในธรรม เป็นบ่อเกิดแห่งศีลสมาธิปัญญา ...ทุกอย่างเลย ไม่มีเว้นเลย

เพราะนั้น แม้แต่นั่งเฉยๆ อยู่เฉยๆ ทรัพย์ก็เกิดขึ้นเอาๆๆ ...ตามี หูมี จมูกมี กายมี ขันธ์มี ทุกอย่างนี่เป็นที่ตั้งของทรัพย์หมดเลย ...ไม่ใช่เป็นที่ตั้งของทุกข์แล้ว

ยิ่งอยู่นาน ทรัพย์ก็มากขึ้นๆ ...เวลาตายก็ทิ้งไว้ ตกค้างไว้ในโลก เอาไว้เจือจานแจกจ่าย  ใครดีใครได้ ใครเข้าถึงก็หยิบจับใช้สอยได้ไป เป็นของดีสำหรับจิตนั้นๆ ไป

เพราะนั้นการฟังธรรม ก็เพื่อมาเรียนวิชาการภายใน วิชาศีลสมาธิปัญญา เพื่อให้แจ้งในวิชชาทั้ง ๓

เพราะนั้นในวิชชาทั้ง ๓ นี่ วิชชาที่สำคัญที่สุดคือ อาสวักขยญาณ เพื่อเข้าไปเห็นกิเลสตัวสุดท้าย ...ญาณที่เข้าไปเห็นกิเลสตัวสุดท้าย ท่านเรียกว่า ขยญาณ ...ไม่ใช่ขยะ ...ขยญาณ

เพราะนั้นตัวที่เข้าไปถึงกิเลสตัวสุดท้ายท่านเรียกว่า อาสวักขยญาณ เพื่อเข้าไปเห็น "ขย" ตัวสุดท้ายที่มันห่อหุ้มใจ ถ้าอาสวักขยญาณเกิด..ขยก็ดับ ขย...อาสวะตัวสุดท้ายมันก็ดับ การดับไปด้วยอำนาจของปัญญา ท่านเรียกว่าขยญาณ

ในญาณมันมีหลายอย่าง ...ญาณที่เห็นความเกิดดับ ญาณที่เห็นนามรูป ญาณที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร ญาณที่จะเห็นความน่าเบื่อหน่าย ญาณที่เห็นแต่ทุกข์ ญาณที่เห็นแต่ความดับไป

ญาณที่เห็นแต่ความไม่แน่นอน ญาณที่เกิดการทบทวน ญาณที่เห็นแต่ความแจ้งความจริง ความสว่าง ในการไม่มีไม่เป็น...พวกนี้คือญาณ ...แต่ญาณสุดท้ายคือ ขยญาณ ...นี่ ก็ไล่ลำดับไป

อภิธรรมเขาก็สอนเรื่องญาณ ๑๖ แต่หน้าที่ของพวกเราไม่ต้องไปไล่หรอก ...ไล่ความรู้สึกในกายตัวเดียว ญาณมันรวมอยู่ที่นี่แหละ  ดูไปดูมาเดี๋ยวก็เบื่อ ดูไปดูมาเดี๋ยวก็ไม่เห็นมีอะไร มีแต่เกิดดับ

ดูไปดูมามันก็หาอารมณ์ไม่ได้ ว่างจากอารมณ์  ดูไปดูมา เอ๊ะ ความเป็นเราอยู่ตรงไหน ไม่เห็นมี  นั่น เห็นความดับไปของเรา  ดูไปดูมา ไม่มีอะไรสักอย่าง เป็นอนัตตา เห็นความดับไปของทุกสิ่ง

สลับไปสลับมาอยู่ในกาย ในกองกายนี่ แต่ว่ายังไม่ถึงขยญาณ ...แต่ว่าญาณเล็กน้อยก็เห็นหมด อยู่ที่กายนั่นแหละ ไม่ต้องไปไล่ดูที่อื่น ตามรู้ดูเห็นอยู่ในนี้ ภายในกองกายกองธาตุนี่แหละ

จะมาเห็นกายนี้เป็นทุกข์อย่างไร การเกิดขึ้นเป็นทุกข์อย่างไร การตั้งอยู่เป็นทุกข์อย่างไร ...ทุกการเกิดของกายคืออาการทุกข์ทั้งสิ้น

เมื่อมีการเกิดก็ย่อมมีการตั้งอยู่  เมื่อมีการตั้งอยู่...จะถือมันก็ตาม..ก็ทุกข์  จะไม่ถือมันก็ตาม...ก็เป็นทุกข์ ...จะครอบครองก็เป็นทุกข์ จะไม่ครอบครองก็เป็นทุกข์ 

เพราะมันมีความดับไป ไม่สามารถคงอยู่ได้เป็นธรรมดา ...การปรากฏขึ้นทุกอาการ ทุกลักษณะของกาย ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น ไม่มีสุขปรากฏขึ้นเลย

ดูไปเหอะแล้วมันจะเห็นเอง มันจะเป็นญาณที่รู้จักว่าสุข-ทุกข์ที่แท้จริงคืออะไร ก็จะเห็นทุกขสัจตามความเป็นจริง ก็จะเห็นว่าทั้งหลายทั้งปวงในกายนี้มีแต่ทุกข์ หาสุข..ไม่เจอ ไม่ได้ ไม่มี

ไอ้สุขๆ ...สุขๆ ที่มันว่ากันไป  มันเป็นสุขแบบฉาบฉวย หรือว่าสุขปลอมๆ


(ต่อแทร็ก 13/26)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น