วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/23 (1)



พระอาจารย์
13/23 (570308A)
8  มีนาคม 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

ผู้ถาม –  การที่จินตามากๆ นี่ครับ แล้วก็มาใช้กับทางพุทธศาสนาอะไรอย่างนี้นะครับ ยังมีโอกาสจะมาอีกไหมครับ

พระอาจารย์ –  มี


ผู้ถาม –  เนื่องด้วยเหตุอะไรครับ

พระอาจารย์ –  สุตตะ จินตา มันยังไม่แน่ ...ถ้ามันเกิดยึดในความคิดความเห็น..ว่าถูก ว่าใช่  เนี่ย มันก็ไปอบายได้หมดน่ะ ...ยึด มันเกิดความยึดทิฏฐิ ...จินตามากๆ นี่ มันจะเป็นทิฏฐิมานะ

เหมือนพวกนักวิชาการน่ะ ดื้อรึเปล่าล่ะ  ไอ้ที่บ้านเมืองมันวุ่นวายนี่ ก็เพราะนักวิชาการที่มันถือความเห็น มันรู้มาก มันชอบคิดว่ามันรู้มากกว่าคนอื่นน่ะ ...นี่ มันก็ยึด

นี่ พวกนี้อบายหมดน่ะ หลง หลงตัวเองถ้ามันไม่มีภาวนาเป็นตัวกำราบไว้...กำราบความยึดมั่นในตัวเราของเรานี่  ยังไงๆ มันก็ปิดอบายไม่ได้

เพราะนั้นว่า จุดที่มันปิดอบายได้...ก็มีแต่พระโสดาบันเท่านั้นแหละ  ถ้าต่ำกว่าโสดาบัน ก็ร่อนเร่พเนจรไปในสังสารวัฏ  มันยังหาความแน่หานอนไม่ได้ มันผีเข้าผีออก ...จิตน่ะมันผีเข้าผีออก

แล้วคราวนี้ว่า ถ้ามันไปซ้ำซากจำเจ กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง นี่ ตรงนั้นมันก็เป็นตัวชี้นำภพ ...ถ้าวนเวียนๆ อยู่อย่างนั้น ก็เรียกว่ามันก็ไปก่อร่างสร้างภพอยู่ในจิต

มันก็ผูกพันมั่นหมายอยู่ภายใน ...ตรงนั้นมันก็เป็นตัวชี้นำ เป็นครุกรรมไป  ยิ่งคิด ยิ่งทำ ยิ่งพูด  คิด..ทำ..พูด ซ้ำๆ ซ้ำๆ ...ตรงนั้นน่ะ ตัวนั้นเป็นตัวชี้นำภพทั้งหลาย


ผู้ถาม –  ถ้าเป็นบุคคลทั่วไปอย่างนี้นะครับ ที่ว่ายังไม่เข้าสู่หลักภาวนา  ควรที่จะมีความเห็นว่า...จะวางตัวในความเห็นต่างๆ อย่างไรดีครับ

พระอาจารย์ –  ก็บอกว่า ไม่มีความเห็น  ถึงมี...ก็มีอยู่ภายใน  อย่าพูด อย่าแสดง เท่านั้นเอง ...เก็บไว้  ยังละความเห็นภายในไม่ได้ ก็อย่าพูด ...เขาเรียกว่าละไปตามลำดับ

แต่ถ้าละภายในได้ ลดได้ ก็ละความคิดความเห็นภายใน ...หรือถ้ามันยังละไม่ได้ ยังผูกกับความคิดความเห็น มันก็ต้องอย่าแสดงออกด้วยคำพูด การกระทำตามความเห็น

ก็ต้องทน ไม่ปล่อยให้มันรุ่มร่ามออกไปทางวาจา ทางกาย ...แล้วก็มุ่งมั่นอยู่ภายในที่จะกำราบจิต กำราบความเห็นของตัวเอง ไม่ให้มันชูคอ อหังการออกมาเป็นเรา


ผู้ถาม –  แล้วก็การใช้ชีวิตนี่ก็คือ ใช้ชีวิตตามธรรมะที่พระองค์แสดงไว้อย่างนั้นรึเปล่า

พระอาจารย์ –  ตามควรแก่เหตุและปัจจัย ...คือการดำรงชีวิตนี่  จริงๆ น่ะการดำรงขันธ์น่ะมันมีอยู่ ๔ อย่างเองน่ะ คือปัจจัย ๔ ...กิน นุ่งห่ม เยียวยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย แค่นั้นน่ะ

ถ้ามันรู้จักเพียงพอแค่ปัจจัย ๔ นี่ ...การทำมาหากินน่ะ ให้มันเพียงพอกับปัจจัย ๔ ...พอควร ...มันก็น้อมไปทางที่จะเกิดมาเป็นคนอยู่แล้ว 

ไม่ไปมักใหญ่ใฝ่สูงมากกว่านั้น หรือว่าไปรังแกเบียดเบียนผู้อื่นด้วยความคิดความเห็น ไปแย่งชิง เอาเปรียบ พวกนี้ ให้มันเพียงพอแก่อัตภาพ ตามเหตุอันควร 

มันก็ได้มนุษย์เป็นสมบัติ ได้ภพของมนุษย์เป็นสมบัติ...เพียงพอแก่การดำรงอยู่ของปัจจัย ๔ แค่นั้นเอง

แต่คราวนี้ว่าการดำรงชีวิตอยู่ในโลกของคนที่มันไม่มีภูมิคุ้มกันนี่  สิ่งยั่วยวนนี่มันเยอะ สิ่งที่มันเร้าหูเร้าตา แล้วมันกระตุ้นความอยาก ...มันก็เกิดความขวนขวาย...ขวนขวายให้ได้มา

ทีนี้พอมันมีความอยากขึ้นมากๆ  การขวนขวายให้ได้มานี่ มันก็เริ่มไม่คิดถึงวิธีการที่จะให้ได้มา ...ตรงนี้มันก็เกิดการล่วงเกินสังคม ล่วงเกินหมู่ชน ล่วงเกินคนรอบข้าง ล่วงเกินสัตว์บุคคล 

มันก็เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ช่วงชิงกัน ก่อเวรก่อภัย เป็นกรรมติดเนื้อติดตัวของมันไป

แต่ถ้ามันมีภูมิคุ้นกันบ้าง...ด้วยการภาวนา ด้วยการมีสติ...คอยยับยั้งไว้ ไม่ให้มันเห่อเหิม เหิมเกริม ทะยาน จนไม่อยู่ในร่องในรอยของการเพียงพอ 

พอ...พอดีกับการอยู่ด้วยเหตุปัจจัย ๔  มันก็ไม่ค่อยไปสร้างเวรสร้างภัยกับสัตว์บุคคล จนติดข้องพัวพัน ...การดำรงชีวิตมันก็จะเป็นอยู่แบบแคบๆ อยู่ในแวดวงจำกัดขึ้น 

ภายนอกก็จำกัดขึ้น ภายในก็จำกัดขึ้น มันรู้แค่รอบเนื้อรอบตัวแค่นี้ในแวดวงปัจจุบัน ...อนาคตมันก็จะค่อยสั้นลงๆ อดีตมันก็ค่อยๆ ถูกลบเลือนไป

คือการดำรงชีพแบบพอสมควรแก่เหตุปัจจัย ...การดำรงชีวิตอย่างนั้นได้ ก็จะเอื้อต่อมรรคภายใน

ซึ่งเดี๋ยวนี้ เหตุการณ์ความเป็นไปของคนในโลก มันไม่ค่อยจะเอื้อต่อมรรคเท่าไหร่ ...แม้แต่ในวัดในวาพระเณรอะไรอย่างนี้ ยิ่งมีเยอะกันเท่าไหร่ ก็ให้สังเกตดูเหอะ เวลาคุยกันมันคุยเรื่องอะไร


ผู้ถาม –  คุยเรื่องโลกเป็นส่วนใหญ่

พระอาจารย์ –  ขนาดในวัดในวา พระก็ยังสนทนาวิสาสะกันด้วยเรื่องที่มันทำให้เกิดความหลงเพลินภายนอก เนี่ย สิ่งแวดล้อมไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่

เพราะนั้นถึงบอกว่า มันมีที่เอื้อที่สุดคือการอยู่คนเดียว...ให้ได้ ให้เป็น ...ไม่คลุกคลี ไม่ต้องไปฟัง ไม่ต้องไปคุย  เพราะว่าถ้าไปในการสโมสรสังสรรค์สังคม มันคุยแต่เรื่องอะไร ไปฟังแล้วน่ะ

ถึงแม้จะคุยเรื่องธรรมะ ก็เป็นธรรมะที่ถกเถียงเอาถูกเอาผิดกันน่ะ ...ไม่เห็นมันจะได้ประโยชน์มรรคผลตรงไหนเลย มีแต่เอาความคิดความเห็นของตัว เอาความเชื่อของตัวมาแสดงกัน

แล้วก็...ลึกๆ ต่างก็ว่าตัวเองถูกหมด  แล้วมันไม่เหมือนกัน ก็เถียงกัน ...มันไม่ใช่เป็นการปุจฉา-วิสัชนาธรรมเลย มันไม่มีความเคารพต่อกันและกัน ไม่มีความเคารพต่อธรรม

เพราะแต่ละคนแต่ละองค์ก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ยังพระเล็กเณรน้อยทั้งนั้น  ความรู้ความเห็นในธรรมมันจะมาจากไหน ...ก็จากการอ่านการคิดเอาเท่านั้นเอง

การปฏิบัติก็เหยาะแหยะๆๆ แทบจะหาการปฏิบัติไม่ได้ ...การปฏิบัติก็ทำกันแบบซังกะตาย  ทำวัตร สวดมนต์ นั่งสมาธิ...พอเป็นพิธีน่ะ กลับกุฏิก็นอนกรนคร่อกๆ หมดน่ะ

หรือไม่ก็ไปนั่งเปิดเฟสไล่อ่านตามเว็บ แต่ละคนก็มีเฟสบุ๊ค ไลน์เอย อะไรเอย ...จิตใจมันออกนอกเนื้อนอกตัวอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้นน่ะ เห็นมั้ยว่า สังคมมันไม่เอื้อ

ทีนี้มันก็ต้องอยู่ที่ตัวเองแล้ว ...จะไปโทษภายนอกเขาไม่ได้ เพราะมันแก้ไม่ได้  มันแก้ส่วนรวมไม่ได้หรอก มันเป็นของมันอย่างนี้ ...มันก็ต้องกลับมาแก้ที่ตัวเอง

ก็ต้องพยายามฝืน ไม่เข้าไปคลุกคลีข้องเกี่ยวพูดคุย อย่าไปอยากรู้อยากเห็น อย่าไปอยากสนุกสนานเฮฮาไปวันๆ กับหมู่กับพวก ...ไร้สาระ ตายเปล่าตายปลี้ ตายหนักแผ่นดินไปอย่างนั้น

เพราะนั้นต้องพยายามสำรวมเนื้อตัวไว้ ...กินข้าวเสร็จ ฉันข้าวเสร็จ ไม่มีอะไร ไม่มีกิจธุระของสงฆ์ งานในหมู่คณะอะไร ก็กลับกุฏิภาวนาไป

ไม่ต้องไปหาอะไรเป็นเครื่องเพลิดเพลินทำ ไปหาอ่านหาดูอะไร นั่นมันเป็นการหาด้วยความเพลิดเพลินทั้งนั้น ...อยู่เฉยๆ ไป

อยู่เฉยๆ ถ้าไม่นั่งสมาธิ เดินจงกรม ก็นั่งเฉยๆ นั่งอยู่กับความรู้ตัวไป ...อย่างนี้มันยังพอเป็นเหตุ เป็นการประกอบเหตุแห่งมรรคขึ้นมาบ้าง

ไม่ไปประกอบเหตุทางโลก คุยกัน ติเตียนกันไปมา อ้างถึงสำนักนั้นสำนักนี้กันไปมา หรือวิพากษ์วิจารณ์ครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้กันไปมา...องค์ไหนเป็น 'จารย์ องค์ไหนเป็นชาม

มันจะรู้ไปทำไม มันได้มรรคได้ผลอะไร ...มันได้แต่บาปได้แต่บุญ...ก็แค่นั้นแหละ ไม่มีประโยชน์...การพูดคุยนี่

เพราะนั้นการพูด การคุยนี่  พระพุทธเจ้าท่านจัดในข้อสัมมาวาจาเลย ...แล้วพวกเรามันอยู่ด้วยสัมมาวาจารึเปล่า การทำพูดคิดมันเป็นไปเพื่อตามธรรมรึเปล่า

หรือมันเป็นไปด้วยความหลงตัวเองรึเปล่า พูดไปเพื่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่คณะหรือบุคคลรึเปล่า พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น พูดแต่เรื่องชั่วเรื่องเลวของคนอื่นรึเปล่า

เวลาพูดไปก็พูดแบบเผลอไผลไร้สติ พูดเอามัน พูดเอาสนุกรึเปล่า อย่างนี้ ...สัมมาวาจานี่สำคัญ...การพูด 

เพราะว่าการพูด เป็นทางออกของจิต ทางไหล ...เหมือนกับเขื่อน ทำนบที่มันแตกออกไป นี่ พูดแบบคนไม่มีสติ คนพูดมากก็สติน้อย คนพูดน้อยก็สติก็ค่อนข้างจะมากขึ้นกว่ากัน

ให้มันสำรวมระวังอินทรีย์...ตาหูจมูกลิ้นกาย...ให้ต่อเนื่อง ...มันเป็นการประกอบเหตุเพื่อให้เกิดการรวมจิตรวมใจให้มันอยู่ภายในทั้งนั้นแหละ

เพราะนั้น ข้อวัตรปฏิบัติอะไรก็ตาม ที่เป็นไปซ้ำซากๆ วนเวียน ...ก็เพื่อให้เกิดการกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวทั้งนั้น ...อย่าไปหาอะไรที่มันเพลิดเพลินทำ 

อะไรที่มันเพลิดเพลินน่ะ มันเป็นทางออก ทางหลง ทางลืมปัจจุบันกายปัจจุบันรู้ออกไป ...ก็ต้องค่อยๆ ละ ค่อยๆ ฝืน กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวให้มาก 

สร้างนิสัยรักการภาวนาแบบไม่ว่างเว้น ไม่มีเวลาปล่อยให้ว่างเลย ...การภาวนาจริงๆ นี่ ที่มันจะได้ผลกันจริงๆ  มันจะต้องไม่ปล่อยให้ว่าง ไม่ปล่อยให้จิตไปได้ช่องออกนอก หลงลืม เผลอเพลินออกไป

มันจะต้องตั้งใจจริงๆ เข้มงวดจริงๆ กับตัวเอง ...เข้มงวดในสติ เข้มงวดในฐานที่ตั้งของปัจจุบันกาย  ...เวลาการรู้ตัวนี่ต้องรู้ลงในปัจจุบันจริงๆ ลงในปัจจุบันกาย ปัจจุบันจริงๆ

บางทีมันหมุนมันหันน่ะ แล้วก็ระหว่างที่หมุนหันนั่นมันลืม แล้วมันมารู้อีกที มันก็ไปเห็นเมื่อกี้หมุนหัน ...นี่ ตรงนี้เรียกว่ามันไม่ทันปัจจุบันกาย แต่มันเป็นสัญญาในกายที่เพิ่งหมุนหัน เพิ่งหยิบจับอะไรอย่างนี้

มันต้องลงกายปัจจุบัน ...ต้องให้ไว ต้องให้พอดีกัน ลงร่องปัจจุบันกายให้ได้ ...ถ้ายังไม่ได้ เมื่อรู้ว่ามันเป็นกายในสัญญา ถึงแม้จะเพิ่งคล้อยหลังมานิดนึงก็ตาม...ก็ต้องกำชับ


หยั่งลงถึงกายปัจจุบัน ความรู้สึกในกายปัจจุบันที่ปรากฏขึ้น แล้วก็ประคองรักษาความระลึกรู้ไว้ ...คือไอ้กายนี่ไม่ต้องประคองมันหรอก ประคองสติระลึกไว้...ความรู้สึกนี่


(ต่อแทร็ก 13/23  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น