วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/26 (1)


พระอาจารย์
13/26 (570308D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
8  มีนาคม 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  มาๆ ไปๆ ...ไปๆ มาๆ ...การภาวนาก็คือไม่ไปไม่มา ไม่มาและไม่ไป 

ทำยังไงถึงจะให้ไม่มาไม่ไป ...ไม่มีที่ไปและก็ไม่มีที่มา ...เมื่อไม่มีที่ไป ไม่มีที่มา...จนไม่มีที่ให้มันอยู่ นั่นน่ะ จบ สรุป 

แต่มันยากอีตอนที่ว่า...ทำยังไงถึงไม่ให้มันมีที่อยู่ ...เพราะที่ไหนๆ “เรา” มันก็อยู่ได้หมด  

ที่ไหนมีที่ให้ไป จิตมันไปกระหวัดถึงตรงไหนปุ๊บน่ะ ที่เกิดเลยนั่นน่ะ...มี area ส่วนตัวแล้ว ...ถ้ามันมี area หรือมันมีพื้นที่นี่  มันก็มีขอบเขต อาณาเขต ...นั่นแหละแดนเกิด...คือภพ 

แล้วทั้งวันน่ะ มันสร้าง area ส่วนตัวอยู่ตลอด...จิต...มันสันดานไม่ดี จิตสันดานไม่ดี ...แล้วก็ไปเพ้อฝัน เพ้อเจ้อ หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้าง อยู่ใน area นั้น 

ก็ใครล่ะ ...ใครมันหัวเราะ ร้องไห้อยู่ในนั้น ...ก็ “เรา” น่ะ ...ถ้ามันมี area เมื่อไหร่ หมายความว่าต้องมี “เรา” ไปหัวเราะและร้องไห้

หัวเราะคือสุข ร้องไห้คือทุกข์  หัวเราะคือยินดี ร้องไห้คือยินร้าย...ยินดีและยินร้าย ...เพราะนั้น อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค มัชฌิมาปฏิปทา ...นี่ทาง ๓ เส้น

อะไรล่ะที่มันไปสร้าง area ที่เกิด แดนเกิด ...ก็จิต...พร้อมด้วย "เรา"  ...จิตนี่ ที่เรียกว่าจิตๆๆๆ นี่ ไม่ใช่จิตลอยๆ นะ แต่มันเป็นจิตที่พร้อมด้วยความเป็นเรา พร้อมความรู้สึกของเรา

มันไม่ได้มีแต่จิตเปล่าๆ ปลี้ๆ นะ  ในระดับขี้เท่อทั้งหลายนี่ ระดับปุถุชนนี่ ...ทุกความคิด ทุกดวงจิต มันเกิดขึ้นพร้อมความรู้สึกเป็นเรา...ของเรา

ซึ่งธรรมชาติของจิต หรือก็คือธรรมชาติของเรา โดยรวมก็เรียกว่าธรรมชาติของจิตเรา...มันไม่เคยหยุดนิ่ง แม้แต่ขณะหนึ่งด้วยตัวมันเอง ...นี้เรียกว่า Fact เลยนะ...ความจริง

เราต้องยอมรับความจริงตัวนี้ เพราะเราอยู่กับจิตดวงนี้มาตั้งแต่เกิด และตั้งแต่ก่อนเกิด ...มันคุ้นเคยอย่างยิ่ง  ท่านเรียกว่า...อนุสัยสันดาน ที่มันคุ้นเคยอยู่ในกมลสันดาน

กมลนี่เรียกว่าใจ สันดานนี่เรียกว่าอาสวะ...มันครอบอยู่จนไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ...เพราะนั้นมันจึงจะเกิดมาพร้อมกับจิตปรุงแต่งนี้แหละ หรือว่าจิตคิดนึก

ที่มันไปสร้างสถานที่ ไปสร้างโอกาส ไปสร้างสัตว์สร้างบุคคล ไปจำลองสภาวะอารมณ์ข้างหน้าข้างหลัง...ตลอดเวลา ไม่มีว่างเว้น ไม่มีหยุดหย่อน ไม่มีพักผ่อน

ไอ้ที่ไปนี่ก็จิตสั่ง ไอ้ที่มาหาเรานี่ก็จิตบอก เพราะกายมันเดินเองไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตสั่งการบงการ แต่ก็เรียกว่ามาดี มาในสิ่งที่ดี นี่มาเป็นกุศล มาเป็นบุญ 

นี่ จิตพาให้เกิดบุญก็ได้ จิตพาให้เกิดบาปก็มี แล้วแต่ว่าไอ้กูหรือเราน่ะจะมักฝ่ายไหนเท่านั้นเอง หรือว่าคุ้นเคยกับการที่กมลสันดานมันไปฝ่ายกุศลหรืออกุศลธรรม เห็นมั้ย บุญน้อมนำจิตกุศล

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า บุญนี่ต้องทำ บาปไม่ทำ ...แล้วอาศัยบุญตัวนี้ที่จิตมันน้อมนำบุญให้มา...ในที่ที่ควรมา ฟัง...ในที่ที่ควรฟัง ได้ยิน...ในสิ่งที่ควรจะได้ยิน

นี่เป็นบุญ นี่เรียกว่าประกอบเหตุแห่งบุญ ด้วยอำนาจของจิตก็ตามแต่ถ้าไม่ประกอบเหตุแห่งบุญตัวนี้ มันจะไม่ได้ฟัง ได้เห็น ได้ยิน สิ่งที่ดี...ที่จะพัฒนาจิตเข้าสู่ความไม่ไปไม่มาของจิต

ถ้าไม่ได้ฟัง ถ้าไม่ได้มาฟัง  ถ้าไม่ได้ยิน ถ้าไม่เคยได้ยิน ...จิตนี้โดยธรรมชาติ โดยสันดาน มันไม่เคยพัฒนาตัวมันเองได้เลย  เรียกว่าอยู่ในภาวะที่ว่า...โง่ดักดานและซ้ำซาก

เพราะนั้นการฟัง การได้ยินธรรม เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติ ...คือการปฏิบัติเป็นไปเพื่อการอบรมจิต อบรมสันดานที่ไม่ดีของจิตโดยธรรมชาติของจิต ...ให้มันหยุดเสียบ้าง

คือยังไม่ต้องหยุดเสียทีเดียวเลย เพราะคงทำไม่ได้ แต่ให้หยุดเสียบ้าง  แล้วให้ค่อยๆ หยุดให้มากกว่าขึ้นไป แล้วให้หยุดแล้วก็ให้อยู่ให้นานขึ้น 

นี่ เบื้องต้นต้องอบรมจิต ...ไอ้ที่มาทนนั่งขัดสมาธิเพชรสองชั้นสามชั้น หลับหูหลับตานี่  ก็เพื่ออบรมให้จิตมันหยุด...ด้วยอุบาย ...นี่คือด้วยอุบาย

พุทโธเป็นอุบาย ลมหายใจเป็นอุบาย ...แต่ละสำนักก็มีแต่อุบาย  สัมมาอรหังก็เป็นอุบาย ดวงแก้วก็เป็นอุบาย ฐานที่เจ็ดก็เป็นอุบาย นะมะพะทะก็เป็นอุบาย

แล้วเราถามว่า...เมื่อพวกเราน้อมนำเอาธรรมอุบายนี้มาทำ เรียกว่าเป็นการอบรมจิตด้วยอุบาย ...แล้วในวันหนึ่งๆ ทำอุบายแห่งการอบรมจิตนี้ได้กี่ชั่วโมง กี่นาที กี่วินาที

ต้องเรียกเป็นวินาที ใช่มั้ย  ถ้านั่งครึ่งชั่วโมงนี่จะหยุดได้กี่วินาที ...ไม่ใช่หมายเอาเวลาในการนั่งนะ แต่หมายถึงเวลาที่อบรมให้จิตมันหยุดอยู่ได้นี่

แล้วพอเลิกประกอบอุบายแห่งการอบรมจิต...คือการนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมก็แล้วแต่ ...จากนั้นไป ก็ปล่อยให้จิตนี่ตกระกำลำบาก ระเหเร่ร่อนไปและมา ใช่มั้ย

ทั้งๆ ที่ว่ากายยังไม่ได้ไปไหนหรอก แต่ว่าจิตมันระเหเร่ร่อนไปที่โน้นที่นี้ ไปถึงเมืองนอกก็ไปนะ ทั้งๆ ที่ตัวมันยังล้างชามอยู่บนวัด นี่ ไปแล้ว...แบบไม่มีห่วงหาอาวรณ์อาลัยในกายในขันธ์เลย

ก็หักลบกลบล้างดู ...ที่อบรมจิตด้วยอุบายได้ประมาณสิบนาทีในหนึ่งวัน ...นอกนั้นมีแต่ไปกับมา แล้วก็มากับไป  หรือไม่ไปไม่มาก็คือหายไปไหนก็ไม่รู้...ตลอด เป็นรูทีน เป็นอาจิณ

แล้วมาถามอาจารย์ว่า “ทำไมหนูภาวนาแล้วไม่เห็นผลเลยคะ”  อาจารย์ก็จะงงว่า...มึงมาถามกูทำไม ทำไมมึงไม่ถามตัวมึงเอง...ว่ามันทำอะไรกันอยู่ ว่ามันประกอบเหตุสมควรแก่ผลหรือเปล่า

อาจารย์ก็จะตอบว่า รู้จักใช้ปัญญาซะบ้าง ...มันก็เอาไปคิดใหญ่ “ทำยังไงให้เกิดปัญญา” ไปหาตำรามาอ่านก็ไม่มีปัญญา จะได้เข้าใจว่า เอ๊ะ อาจารย์สอนอะไร

ก็กูสอนไปแล้ว ว่าคิดเองเป็นมั้ย  ...ให้น้อมกลับ พิจารณาทบทวน...ตามเหตุตามปัจจัยน่ะ  

ถ้ามันกลับไปน้อมนำด้วยปัญญาแบบพื้นๆ ฐานๆ ...มันก็จะเห็นว่า มันประกอบเหตุไม่สมควรแก่ธรรม มันเข้าไปประกอบเหตุไม่สมควรแก่ผล ...นี่ ปัญญาเกิดขึ้นแว้บๆ นึงก่อน...ด้วยตัวเอง 

ทีนี้มันก็จะมาตันตรงไหนอีก ...ก็คือถ้ามันประกอบเหตุไม่สมควร คือมันได้แค่วันละ ๕ นาที ๑๐ นาที ที่ว่าจิตมันหยุดนี่ ...มันก็จะว่า “โอ้โห งี้กูก็ต้องนั่งทั้งวันน่ะสิ”

นี่ ติดอีกแล้ว มาคามาตันตรงรูปแบบของการใช้อุบายอีก เห็นมั้ย มันมีขีดจำกัดนะ ...แล้วไอ้พวกเรานี่ มันมีขีดจำกัดเยอะ ข้อจำกัดก็แยะ

เพราะว่าใจมันปลาซิว มันไม่เหมือนแผ่นดิน ...มันเหมือนปลาซิว ความเพียรนี่เท่าปลาซิว หรือจะว่าเท่าหัวเข็มหมุดก็ไม่ใช่ ...มันแค่ปลายเข็มหมุดน่ะ 

พอมันคิดถึงว่า “อย่างนี้กูก็ต้องนั่งสมาธิเดินจงกรมทั้งวันล่ะสิ”  มันก็ตันแล้วว่า “ไม่ไหว” ...นี่ เกิดปัญญาแล้ว...แต่ทำไม่ได้

แล้วยิ่งไปอ่านเรื่องครูบาอาจารย์ ปฏิปทาพระกัมมัฏฐาน ประวัติครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น “โอ้โห ท่านอย่างนี้เลยเหรอ ...ไม่ไหวๆ เดินจงกรมทั้งวัน นั่งสมาธิจนก้นแตก”

ก็เลยเกิดสภาวะว่า “ช่างมันเถอะ ได้แค่นี้เอง วาสนาเราน้อย ก็ทำๆ ไปพอเป็นพิธี” นี่ ...แต่ลึกๆ ก็ยังอยากสำเร็จอยู่นะ อยากได้มรรคผลไวๆ

เกิดความกระเหี้ยนกระหือรือเวลาได้ยินได้ฟังคำพูดธรรมะ ตาหูนี่เบิกโพลง หรือไปอ่านข้ออรรถข้อธรรมตรงนั้นตรงนี้ เกิดความกระสันอยากจะสำเร็จว่า “คงจะสบายดีเนอะ”

แต่พอมานึกถึงปฏิปทา...ไม่ใช่ของพระกัมมัฏฐานหรอก แต่ปฏิปทาของ “กู” หรือของ "เรา" น่ะ ...ก็คือว่า “ไม่ไหว ...คงไม่ได้” แล้วก็นั่งฝันหวานรอ

แล้วดันไปรอตอนนั่งสมาธิอีกนะ ...มันฝันตอนระหว่างออกนอกอุบายยังไม่พอ ระหว่างนั่งสมาธิกัน...ก็ยังไปว่า “เมื่อไหร่จิตจะสงบ”

เนี่ย ปัญหาซ้ำซากโลกแตกของเกือบทุกคน สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง พระบ้านนอกสอน มันไปฟังพระในตำราสอน

นี่ พระบ้านนอกก็สอนว่า อุบายคืออุบาย...หลักคือหลัก ...ถ้าเอาท่าทางของการภาวนาไปขึ้นกับนั่งสมาธิเดินจงกรม...ชาตินี้รับรองไม่สำเร็จแน่ๆ ตายกับกองกระดูนี้ เผาไปเหอะ

แต่กิเลสมันไม่ได้ถูกเผาไปพร้อมกับกระดูกนะ ...แล้วกิเลสก็จะไปก่อตัวรวมตัวสร้างกระดูกกับเนื้อมาหุ้มใหม่...ชัวร์ป้าด บอกให้ ไม่ต้องมีญาณด้วย


(ต่อแทร็ก 13/26  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น