วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/25 (1)


พระอาจารย์
13/25 (570308C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
8  มีนาคม 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  ถ้าไม่เข้มงวด ควบคุม สำรวม ด้วยสติ ด้วยสมาธิ  มันก็จะไปในที่ที่มันคุ้นเคย ที่มันติดข้อง ...นี่เขาเรียกว่าผู้ติดข้องในสังสารวัฏ ผู้ติดข้อง "เรา" คือผู้ติดข้องในภพและชาติ

แล้วมันไม่เห็น ...เมื่อไม่มีปัญญา มันก็ไม่เห็นว่านี้เป็นความติดข้อง ไม่เห็นด้วยว่าภพนี้เป็นที่ขัง เป็นที่ข้อง ...มันไม่เห็น แปลว่าไม่มีปัญญา

เมื่อไม่มีปัญญา มันก็ไม่เห็นว่าภพนี่เป็นที่ติดและข้อง ...มันก็ขยันสร้างภพมากขึ้นๆ โดยที่ว่ามันโง่ ...ยิ่งสร้างความคิดความนึกขึ้นเท่าไหร่ ก็มีความสุขให้เลือกตั้งเยอะแยะ

นี่ มันคิดของมันด้วยความโง่ ...มันไม่รู้ว่ามันกำลังสร้างกรงนี่ขัง คือ "เรา" ...เราในความคิด เราในจิต เราในอดีต เราในอนาคต เราในข้างหน้าข้างหลัง ที่ไกลที่ใกล้

มันจึงแวดล้อมห้อมล้อมด้วยความน่าจะมี น่าจะเป็น  ควรจะมี ควรจะเป็น  น่าจะได้ หรือต้องได้ ...ถ้ามากขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็เรียกว่า...ต้องได้ล่ะ แต่เมื่อยังไม่ได้  นี่ทุกข์แล้ว... ต้องได้...แต่ยังไม่ได้

คือประเภทเหมือนเห็นผู้หญิงเดินมา แล้วคิดว่าสักวันกูจะได้นอนกับมึง นี่ แล้วไม่ได้  พอมันคิดแล้วเขาทำไม่สนใจ นี่ ทุกข์แล้ว...มันต้องได้ แต่มันไม่ได้ ..แล้วมันก็วนเวียนซ้ำซาก...ทำยังไงถึงจะได้

นี่ ทุกข์ตลอดสาย นี่คือปัจจยาการของทุกข์เลย ...ถ้าได้สร้างกรงหรือสร้างภพขึ้นมา หมายความว่ามีทุกข์เป็นที่อยู่ มีทุกข์เป็นที่จบ มีทุกข์เป็นที่เกิด ว่างั้นเถอะ ...นี่ มันไม่รู้ๆ 

เมื่อมันไม่รู้ มันก็โง่ซ้ำซาก ...โง่ซ้ำซากยังไง ...ก็สร้างภพซ้ำซากอยู่อย่างนั้น เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เปลี่ยนมาเปลี่ยนไป ...อย่างว่า คนนี้ไม่ได้กูก็เอาคนนั้น นั่น คนนั้นก็น่าจะมีสิทธิ์มีเปอร์เซ็นต์มากกว่า 

เยอะแยะผู้หญิงในโลก หรือว่าวัตถุในโลก หรือว่าคนที่น่ารัก หรือคนที่น่าเกลียด...มีหมด จะเอาเท่าไหร่ เยอะแยะ...มันไม่มีคำว่าจบ ...นี่เพราะด้วยความไม่มีปัญญา 

แต่พอมันมาเริ่มอยู่กับความเป็นจริงแล้ว มันก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า เนี่ย เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ...เพราะนั้นตัวสมุทัยนี่ พูดสั้นๆ ง่ายๆ เอาไว้ก่อน...คือจิตนี่แหละสมุทัย 

เพราะนั้นเมื่อเห็นว่าจิตนี่มันเป็นโทษ เพราะมันชอบไปสร้างภพ สร้างโมเดลใหม่ๆ เลิศหรูอลังการ แล้วสามารถทำได้เหมือนจริงง่ายๆ 

เหมือนพระนี่ เวลาร้อนผ้าร้อนผ้าเหลืองอยากสึกนี่ “เออ กูไปเก็บของเก่าขายก็อยู่ได้ รวยได้ มีเยอะแยะเลยที่เขาเก็บของเก่าขายแล้วรวย”


โยม –  เก็บของเก่านี่พระเครื่องหรือครับ

พระอาจารย์ –  ไม่ใช่ เก็บขยะนี่


โยม –  แล้วรวยได้ยังไงครับอาจารย์

พระอาจารย์ –  เอ้า เวลานั้นมันคิดอะไรได้หมดแหละ ก็กูจะไปอ่ะ เข้าใจมั้ย กระทั่งไปขายของ ไปเป็นเซลส์ หรือไปอะไร “โอ้ย เราไม่มีความรู้อะไรก็ทำได้ เขาก็ทำกัน” นี่มันจะคิดอยู่อย่างนั้น


โยม –  อะไรก็ดีไปหมด

พระอาจารย์ –  ดีไปหมดแหละ นี่ ความใกล้เคียงความเป็นจริงแบบง่ายๆ เห็นมั้ย ...นี่ โง่ แล้วก็ไปหลงอยู่ในความคิดซ้ำซากๆๆ 

แต่ปัจจุบันมันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะ ปัจจุบันยังเป็นพระ นี่ เขาเรียกว่าร้อนผ้าเหลือง มันก็เกิดความทุรนทุราย นี่เขาเรียกว่าขยันสร้างปม ...โง่ ไม่ฉลาด

แล้วก็ทิ้งช่วงลึกไปให้มันจมปลักอยู่อย่างนั้นแบบเนิ่นนาน ช้านาน ...จะดึงกลับนี่ ไม่กลับแล้ว ...ให้มาอยู่กับกายกับศีล กลับเป็นว่าศีลเป็นของเร่าร้อน กลับว่าสมาธิเป็นของเร่าร้อน ทั้งติทั้งด่าทั้งว่า 

คือมันจะไปให้ได้น่ะ มันเห็นผลตามประสามันอยู่ข้างหน้าใกล้ๆ แค่เอื้อมแล้ว ว่างั้นเถอะ


โยม –  ตัณหามีกำลังมากกว่า ณ ตอนนั้นรึเปล่าครับ

พระอาจารย์ –  ระหว่างที่มันคิดน่ะ มันพอกพูนตัณหา เข้าใจคำว่ามันพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ มั้ย ...จิตนี่ ที่มันเคลื่อนนี่  อยู่ดีๆ มันจะเคลื่อนได้ยังไง หือ


โยม –  ตัณหามันขับ

พระอาจารย์ –  อือ เป็นแรงขับเคลื่อน คือความทะยานอยาก ...ไปไล่ดูที่ปัจจยาการสิ


โยม –  ในปฏิจจสมุปบาทรึเปล่าครับ

พระอาจารย์ –  เออ  เพราะนั้นตัณหาจริงๆ นี่ ไม่ใช่แค่ตัณหาที่เราเห็นมันเป็นตัณหาที่เนื่องด้วยผัสสะ แล้วเวทนา ...แต่ไอ้ตัวสังขารานี่ ตัณหาตัวนี้ท่านเรียกว่า ราคานุสัย ...อยู่ในอาสวะ 

ตัวนี้มันเป็นตัวขับเคลื่อนจิตสังขาร เข้าใจมั้ย กามานุสัย ราคานุสัย อวิชชานุสัย ทิฏฐินุสัย มานานุสัย พวกนี้ อยู่ในชั้นของอาสวะ ...เพราะนั้นเวลามันเคลื่อนออกมานี่ อยู่ดีๆ มันจะเคลื่อนเองไม่ได้หรอกจิต


โยม –  ตัณหาส่งมาอย่างนี้

พระอาจารย์ –  คือราคานุสัย กามานุสัย พวกนี้อยู่ในชั้นอาสวะ ...ซึ่งมองไม่เห็นเลย พวกเราจะรับรู้ไม่ได้เลยในราคะในส่วนละเอียด ...นี่คือราคะส่วนละเอียด ราคะที่พระอรหันต์นะนั่นจึงจะเห็น


โยม –  พระอรหันต์ยังมีตัวนี้อยู่หรือครับ

พระอาจารย์ –  มีดิ เข้าอรหัตตมรรคน่ะ กำลังจะทำอรหัตตมรรคให้เกิด นั่นน่ะ

แต่พวกเราที่เห็นกันนี่ มันเป็นตัณหาหยาบ ที่ต่อเนื่องมาจากผัสสะ เวทนา แล้วมีตัณหาอุปาทาน ตัวนี้...


โยม –  หยาบมากหรือครับ

พระอาจารย์ –  หยาบแบบส้นตีนเลยน่ะ ...ไม่ใช่ธุลีนะ เทียบกันดูนะ ถ้าว่าส้นตีนกับธุลี นี่คนละเรื่องกันเลย 

เพราะนั้นไอ้การที่จิตที่มันเคลื่อนออกๆ นี่  ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันจะเคลื่อนออกมาเองได้ ...พวกเราไม่เห็นหรอกว่าเหตุที่เคลื่อนของจิตนี่คืออะไร ...ถ้ามันเห็นนี่ก็พระอรหันต์แล้ว

คือถ้าเห็นนี่ อย่างน้อยนี่นะ ...ไม่ถึงพระอรหันต์หรอก พระอนาคามีถึงจะเห็น  แล้วก็เกิดภาวะที่เรียกว่า...เท่าทันทุกดวงจิต โดยอัตโนมัติ ...นี่เห็นทุกข์โดยอัตโนมัติเลย

นี่สะสมปัญญามาเพียงพอแล้ว เรียกว่าไม่ตายใจกับกิเลสแล้ว ไม่ตายใจกับจิตแล้ว ไม่ปล่อยให้จิตมันเอ้อระเหยลอยนวล หรือปล่อยให้คนชั่วลอยนวลน่ะ ...มันเห็นว่าจิตนี่เป็นคนชั่วแล้ว

พวกเรานี่ยังเห็นจิตเป็นเทพเจ้าอยู่เลย เป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้นำพาซึ่งความสุขความเจริญ เป็นผู้ชี้ทางแห่งความสว่างสุกสกาวในธรรม...นี่ ในธรรมด้วยนะ

นี่เขาเรียกว่ามันยังให้ราคา ...ด้วยความไม่รู้ ด้วยปัญญาที่ต่ำ มันยังให้ราคากับจิต แล้วก็ไม่รู้สึกว่าเสียหายเมื่อมีการคิดการปรุง ใช่มั้ย เฉยๆ เรื่องของมัน ...นี่ ยังแค่นี้


โยม –  เดี๋ยวค่อยทำ

พระอาจารย์ –  เออ แล้วเมื่อไหร่มันจะทำ ใช่มั้ย ...“เดี๋ยวค่อยทำ” นี่  แค่ว่า “เดี๋ยวค่อยทำ” นี่ มันจะมีจิตตัวนึงมาสนับสนุนเลย ไม่ให้เกิดการตัดตอน ไม่ให้เกิดภาวะที่เรียกว่าฆ่าตัดตอน

แต่ถ้าเป็นสัมมาสติ สัมสมาธิ สัมมาญานนะ มันเป็นตัวที่เรียกว่าฆ่าตัดตอน  ...ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้ออ้าง ...เพราะพอจิตมันจะโดนฆ่าปุ๊บ มันจะมีข้ออ้าง

อย่างว่าถ้าด่ากันนี่ เรียกว่ายังไม่ถึงโคตรยังไม่เลิก อย่างนี้ ...แล้วพอรู้ปุ๊บ มันไม่ยอม มันว่าต้องให้ด่าจนถึงที่สุดของมันก่อน อย่างนี้ ...มันจะมีข้อแม้มาไม่ให้เกิดการตัดรอน

แล้วพวกเราก็...เขาเรียกว่าการละ...การละนี่...มันละทีเดียวยังไม่ขาด เข้าใจมั้ย ...มันก็ยังว่า “เอาหน่อยน่าๆ เอาอีกหน่อยน่า” อยู่อย่างนี้

นี่ ก็อยู่ที่กำลังของสมาธิ ของสติของผู้นั้นน่ะ มันจะมากหรือน้อย ...ถ้าน้อยอาจจะระลอกสอง ยังพอทัน แต่พอระลอกสาม-สี่...ไม่เอาแล้ว ปล่อยแล้ว

แต่ถ้าสติสมาธิมากนี่ ...กี่ระลอกๆๆ มันก็ไม่ไป ...ไม่ว่าคลื่นมันจะทยอยมาๆๆ ไม่ไปเลย ...นี่ ภาวะนี้ ตัวอารมณ์หรือตัวกิเลสนี่ จะเกิดความสั่นคลอน จะแสดงความเป็นอนิจจัง แปรปรวน


โยม –  อาจารย์ครับ แล้วอย่างพระอรหันต์จะมีส่งมาระลอกๆ อย่างนี้ไหมครับ

พระอาจารย์ –  โอ้ย ไม่มีแล้ว จิตปรุงแต่งนี่ โดยอารมณ์ โดยเจตนาของเรานี่ไม่มี  แต่ว่าเป็นอย่างที่เรียกว่า เป็นโดยวาสนา


โยม –  วาสนานี่คือ

พระอาจารย์ –  คือสิ่งที่ทำมาจนเป็นอาจิณในอดีต นิสัย ...พวกนี้มี คุ้นเคยในนิสัย  แต่มันเป็นแค่ความคุ้นเคยในนิสัย ไม่มีเราเป็นต้นตอ แค่นั้นเอง

เพราะนั้นอารมณ์ท่านจึงมี แต่ว่ามีตามนิสัย ...แต่ว่ามีตรงนั้นดับตรงนั้น ไม่ค้างคาเป็นอดีตและอนาคต เข้าใจมั้ย ตัวท่านนี่จะไม่ค้างเป็นอดีตและอนาคต

คือจะไม่มีเราถือปัจจุบันนั้นมาเป็นอดีต จะไม่มีเราเข้าไปถือปัจจุบันนั้นในอนาคต ...นี่มันดับลงแบบเขาเรียกว่า หัก ณ ที่จ่าย

ท่านถึงเปรียบว่าจิตพระอรหันต์นี่ อารมณ์ของพระอรหันต์นี่ เหมือนนกบินไปในอากาศ ...อย่างเนี้ย ในกุฏิเราเนี่ย ...ถามว่า มีนกเคยบินมามั้ย ตอนนี้


โยม –  ตอนนี้ไม่มีครับ

พระอาจารย์ –  แล้วเชื่อมั้ยว่ามันเคยมีนกบินมา ...มันไม่มีเครื่องหมายใดๆ บ่งบอกเลยใช่ไหม


โยม –  ใช่ครับ

พระอาจารย์ –  แต่เราบอกว่ามี แล้วก็ไปแล้ว เห็นมั้ย จะไม่มีทิ้งไว้เป็นสัญญา จะไม่มีทิ้งไว้เป็นอดีต จะไม่มีทิ้งไว้ว่าจะมีนกมาข้างหน้าหรือเปล่า ...มันดูเหมือนไม่มีอะไรเลย

แต่เราบอกมี เคยมี และเดี๋ยวก็จะมีอีกด้วย ...นี่ นี่คืออารมณ์ของพระอรหันต์ คือเป็นแค่ปัจจุบันนั้นๆ แล้วท่านก็ไม่ได้สนใจ...นกมันจะบินหรือไม่บิน เรื่องของนก


(ต่อแทร็ก 13/25  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น