วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 13/24 (2)


พระอาจารย์
13/24 (570308B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
8  มีนาคม 2557
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 13/24  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  ถ้ามันยังละกายไม่ได้ ถ้ามันยังไม่แจ้งในกาย ถ้ามันยังวางกายไม่ลง ถ้ามันยังรู้กายไม่แจ้ง รู้กายไม่ตลอด รู้กายไม่ต่อเนื่อง ...มันจะวางไม่ได้ มันจะวางไม่ลง 

ถ้ามันวางกายไม่ได้ วางกายไม่ลง...ไม่ต้องไปถามถึงขันธ์อื่น มันวางไม่ได้ มันจะวางไม่ได้ ...เพราะตัวกิเลสความยึดมั่นถือมั่นในกายนี่ มันเป็นตัวปิดบังความเป็นจริงของขันธ์ทั้งห้าเลย

เหมือนกับเป็นกำแพงใหญ่ที่มันขวางความเป็นจริง หรือปิดบังความเป็นจริงของขันธ์ทั้งห้าเลย ...ถ้ายังทะลายกำแพงนี้ไม่ได้ กำแพงกิเลสที่มันเข้ามายึดมั่นถือมั่นเป็นกายเราตัวเรานี่ หรือกายเขาตัวเขานี่

มันจะไปเห็นขันธ์ส่วนละเอียดด้วยความเป็นจริง ตามความเป็นจริงไม่ได้ ...ไม่มีปัญญาที่จะเข้าไปเห็นได้ ละได้ ในขันธ์ที่ละเอียดขึ้น...ที่เรียกว่าเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เพราะนั้น ถ้ายังละกายไม่ได้ ยังวางกายไม่ลงนี่ ...ก็ต้องเพียรอยู่ที่กาย ภาวนาอยู่ที่กาย สร้างปัญญาให้เห็นกายอยู่ด้วยความต่อเนื่องสม่ำเสมอ ...ไม่เบื่อ ไม่หน่าย ไม่เลิก ไม่วาง ไม่พักผ่อน

ไม่ให้จิตมันพักผ่อนแล้ว ...มันไปพักอยู่ในอารมณ์ต่างๆ นานา มามากมายมหาศาลหลายภพหลายชาติแล้ว ...พอแล้ว...พักพอแล้ว  พักกี่ทีๆ ก็ไม่เห็นมันไปนิพพานได้เลย 

ก็ไม่ต้องพักมันแล้ว ให้มันมาทำงาน มาพิจารณา ...ทำงานอยู่ด้วยการพิจารณากายด้วยสติ...กายคตาสติ  ทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีวันไม่มีคืน ไม่มีหยุดไม่มีหย่อน ไม่มีผ่อน 

ไม่มีผ่อนปรนให้กิเลสมันอีกต่อไปแล้ว ...ไม่ผ่อนปรนให้ความขี้เกียจ ไม่ผ่อนปรนให้ธุระปะปังภายนอก ไม่ผ่อนปรนให้กับความถูกความผิดที่เขาว่า ที่เขาหา

ที่เขาพยายามบอกว่า...ต้องเป็นความจริงอย่างนั้น ต้องทำความจริงให้ปรากฏอย่างนี้ ต้องทำความเป็นจริงนี้ให้ปรากฏ ต้องทำความเป็นจริงตรงนั้นให้ปรากฏ ...ไม่บ้าบอไปกับเขาแล้ว

ทำความจริงตรงนี้ให้ปรากฏ...คือกายนี่แหละ...ที่เดียว โดยไม่ว่างเว้น ...ไอ้ที่ยากก็ได้ง่ายๆ เองแหละ ไอ้ที่ทำไม่ได้มันก็จะรู้สึกไม่ใช่ของยากจนเกินไป

ไอ้ที่ว่าช้า มันก็จะได้เห็นว่ามันก็ไม่ได้เป็นช้าเป็นเร็วอะไร ...มันก็เป็นแค่รู้กับเป็นแค่เห็นอยู่ในปัจจุบันเท่านั้นแหละ ...มันพอดีอยู่ตรงนั้นทุกร่องทุกปัจจุบันไป

มันก็ไม่มีปัญหาอะไรมาแผ้วพานในระหว่างที่กำลังภาวนาอยู่ในกาย..อยู่ในรู้นั้น จิตมันแลบ มันจะออกไปหาปัญหา...ก็รีบชักกลับ ...อย่าเสียดายปัญหา อย่าเสียดายเรื่อง ที่มันดูเหมือนยังค้างคาอยู่ 

จริงๆ มันไม่มีค้างคาหรอก ...แต่มันดูเหมือนค้างคาอยู่ แล้วมันเข้าใจว่า ถ้าเข้าไปทำความค้างคาตรงนั้นให้มันหมดสิ้นไปแล้ว แล้วมันจะได้มารู้กายแบบต่อเนื่อง ...นั่น หลอกอีกแล้วๆ มันไม่มีอ่ะ

รีบเลย ...พอรู้ปุ๊บ พอเห็นปั๊บว่ามันลืมกาย มันออกไปคิด มันออกไปนึก มันออกไปวนเวียนอยู่ในอารมณ์ ความคิด สัญญาอะไรก็ตาม บุคคลไหนก็ตาม ไม่ว่าบุคคลนั้นจะดีเด่นขนาดไหน

ก็ไม่เอา ...ไม่ต้องไปคลุกเคล้ากับมัน ไม่ต้องไปเอาบุญนอก ไม่ต้องไปเอาคุณงามความดี เป็นหน้าเป็นตา เป็นตัวเป็นตนอีกต่อไป ...เอารู้เอากายปัจจุบันน่ะเป็นหน้าตาที่แท้จริง

แล้วจะเห็นว่าหน้าตามันน่ะไม่มี "เรา" เลย หน้าตาของรู้...ไม่มี "เรา" เลย ไม่มีหน้าตาของ "เรา" ...นี่ ไม่มีเราไม่มีเขาเลย ไม่มีทั้งชื่อ ไม่มีทั้งเสียง ...ไม่มีอะไร

ไม่มีทั้งกิเลส ไม่มีทั้งความเป็นสุขเป็นทุกข์ในตัวมัน ...ไม่มีอะไรเลยจริงๆ  โบ๋เบ๋ ว่างเปล่า กลวง...เป็นกายกลวงๆ นั่นแหละ เป็นการปรากฏขึ้นแบบกลวงๆ นั่นแหละ

แน่ะ ถ้ามันเห็นรายละเอียดของกายด้วยความไม่ว่างเว้นต่อเนื่องไปเลยน่ะ ...มันก็จะเริ่มเห็นความไร้สาระในกายนี้ไปตามลำดับเอง ...มันก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรา..ของเราแต่อย่างใด 

มันเป็นแค่การไหลเลื่อนเคลื่อนไปมา วูบวาบ โดดไปโดดมา ขยับไปไหวมา ตรงนั้นตรงนี้บ้าง ไปรวมตัวชัดเจนเป็นความรู้สึกนี้อันนึง เป็นความรู้สึกนั้นอันนึง เป็นความรู้สึกนี้อย่างนึง วนเวียนๆ ไปอยู่อย่างเงี้ย

ถ้ามันดูด้วยความไม่ท้อถอย ไม่หยุดหย่อนแล้วนี่ ...ความเป็นปัจจัตตัง ความรู้แจ้งเห็นจริงว่ามันไม่ใช่เรา..ไม่ได้เป็นเราอย่างไรแต่ประการใด  มันก็ค่อยๆ ลึกซึ้งๆ ขึ้นไปเอง

โดยที่ไม่ต้องพึ่งพิงอาศัยตำรา คำพูดคนอื่น โดยที่ไม่ต้องพึ่งพิงเวล่ำเวลา ไม่พึ่งพิงสถานที่ ไม่พึ่งพิงสถานะ เพศ พรรณ อายุ อะไรแต่ประการใด ...มันก็ชัดเจนอยู่ในการรู้การเห็นทุกปัจจุบันไป

เมื่อไม่มีอะไรก็คือไม่มีอะไร  เกิด-ดับก็คือเกิด-ดับจริงๆ ...เป็นแค่ความรู้สึกเป็นหย่อมๆ หยุ่มๆ ยุบยิบๆ ซวบซาบๆ อะไรของมันอยู่อย่างงั้นน่ะ

ดูไปจน...จนมันลืมโลกไปเลยน่ะ ...ดูกายนี่ แล้วจะลืมโลก  โลกนี่หายไปเลยน่ะ โลกที่เกิดจากเสียง จากรูป จากกลิ่น จากการกระทำของสัตว์บุคคล

มันดูเหมือนหาย ดูเหมือนมันไม่ได้อยู่ในสายตาเลย  มันออกนอกสายตาไปเลย ...นั่นแหละ ถึงขั้นนั้นน่ะ ค่อยวางใจได้ในระดับนึง

แล้วก็รักษาไว้อย่างยิ่งยวด รักษาศีลสมาธิปัญญาอย่างยิ่งยวด ไม่ย่อหย่อน ...คือไม่ใช่ศีลแบบไประวังเดินทุกก้าวไม่ให้เหยียบมดนี่...ไม่ใช่ ...ให้รักษาความรู้สึกความต่อเนื่องในกายนี่แหละ

นี่คือรักษาศีลอย่างยิ่งยวด ไม่เว้นวรรค ไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่อ่อนแอท้อแท้ ไม่ไปวิตกวิจารณ์ในที่อื่น แม้กระทั่งตรึกไปในที่ใดที่หนึ่งที่นอกเหนือจากกายนี้

เอาจนว่า...เก็บมันทุกเม็ดนั่นน่ะ ...เก็บจิตมันทุกตัว เก็บจิตมันทุกดวงเลย...ที่มันจะไปสร้างต่อม สร้างปมแห่งการเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ...เพราะไอ้ตัวจิตน่ะคือการเกิดอยู่แล้ว 

แต่ถ้าไม่ทันมันนี่ มันจะไปเกิดความเกิดที่ต่อเนื่อง...เป็นสันตติ คือภพ ...มันจะสร้างภพภายในขึ้นมา แล้วมันจะดูเสมือนจริงยิ่งขึ้นๆ 

จนไม่กล้าเลิก ไม่กล้าละ ไม่กล้าวาง ไม่กล้าทิ้ง ไม่กล้าสลัดออก ไม่กล้าทำความหลุดพ้นจากมันออกมา ...มันก็กลายเป็นพันธนาการขึ้นมา ภพกลายเป็นกรงขังขึ้นมา แล้วก็เอาตัวเราเข้าไปอยู่ในกรงขังนั้นเอง


ผู้ถาม –  ทำไมมันไม่กล้าออกมาครับ

พระอาจารย์ –  มันกลัวตาย  มันกลัวไม่มีความสุข


ผู้ถาม –  กลัวไม่ได้คิดต่อใช่ไหมครับ

พระอาจารย์ –  ทำไมมันถึงคิดล่ะ ...หนึ่ง มันมีอารมณ์ในระหว่างที่คิด ใช่ไหม แล้วอารมณ์ที่มันได้ระหว่างที่มีความคิดก็คือแบบ...ถ้าไม่สุข ก็เพลิน สบายน่ะ

เนี่ย แล้วมันเกิดความเข้าไปเสวยอยู่ในเรา...ที่มันอยู่ในกรงของความคิด ...นี่ มันมีการเสวยอารมณ์นั้นด้วย พอมันมีอารมณ์แล้วมันติดในอารมณ์

พอมันจะออกจากกรงปุ๊บนี่ มันก็จะไม่มีอารมณ์ ...พอมันไม่มีอารมณ์แล้วมันเสียดาย มันไม่อยากออก ...นี่เพราะว่ามันติดข้อง ติด เป็นผู้ที่ติดข้องในภพและชาติ

เพราะนั้น มันจะต้องมีความอาจหาญ ไม่กลัวไม่มีสุข ไม่กลัวทุกข์เกิด ไม่กลัว ... ไม่กลัวที่จะได้เสพทุกข์ ไม่กลัวที่จะไม่ได้เสวยสุข 

ก็ละซะ ทำใจแข็งๆ ...ละ ละมาอยู่ที่กาย ...พอมันมาอยู่ที่กายปั๊บ เป็นกายที่มันไม่มีเรา ...คือถ้ามันรู้สึกในกายจริงๆ นี่ มันจะเป็นความรู้สึกที่ไม่มีเราในกาย ...มีแค่ความรู้สึก

เพราะนั้นพอมันมีแค่ความรู้สึก มันจะไม่มีเราเป็นผู้เสวยอารมณ์ มันจะไม่มีอารมณ์ ...มันจึงไม่มีทั้งสุขและทุกข์ขึ้นมา

ซึ่งตรงนี้ มันจะมีสัญญาลึกๆ ภายใน...ที่มันไปเทียบกับตอนที่มันมีความคิด หรือตอนที่มันคิดไปถึงสิ่งที่มันรัก คนที่มันรัก วัตถุที่มันชอบ นั่นน่ะ

ถ้าสมมุติว่าชอบรถ อยากเปลี่ยนรถ มันก็นึกไปถึง เบนซ์ บีเอ็ม เฟอรารี่ แลมโบกินี  พอมันคิดไปอย่างนี้ มันรู้สึกว่า แหม ตัวเราได้ไปนั่งแล้วได้ขับโฉบเฉี่ยวไปมา แล้วคนเขามองตามอย่างนี้ มันมีความสุขนะ 

เนี่ย มันเพลินๆ ...แล้วพอรู้ตัว จะออกจากความคิดนั้น นี่ มันติดกับดักแล้ว มันติดกรง มันมีเราในกรงนั้น มันไม่ยอมออกนอกกรง ...ทั้งๆ ที่จริงๆ ยังไม่ได้นั่งรถนั้นสักหน่อยเลย

เนี่ย ความเป็นจริงกับความไม่จริง ...แต่ว่ามันติดซะแล้วน่ะ คิดจนเพลินแล้วน่ะ คิดจนได้ความสุขจริงๆ คือมีเราไปเสพสุขในการที่ได้ครอบครอง มีหน้าตาของเราที่ได้เป็นเจ้าของรถนั้นๆ แล้ว

แล้วมันมีความภูมิอกภูมิใจ มันมีความสุขแบบกำมะลอน่ะ เข้าใจไหม นี่สุขแบบโง่ๆ น่ะ ...แล้วก็มาติดสุขแบบโง่ๆ นั้น ไม่ยอมทิ้ง ไม่กล้าทิ้ง ...มันก็เลยว่าถ้าไม่คิดนี่เดี๋ยวมันจะไม่ได้จริงๆ

อย่างอื่นก็เหมือนกันน่ะ ...ไม่ว่าซอร์ส (sorce) นั้น หรือเราตรงนั้นเป็นวัตถุ บุคคลชาย-หญิง หรือสัตว์ ...ได้หมดน่ะ  ถ้ามันมีปุ๊บ มันเข้าไปข้องแล้ว...ไปข้องในภพแล้ว ไปติดในภพแล้ว

ซึ่งมันไม่ติดทุกข์หรอก ไอ้เรื่องทุกข์ไม่ค่อยคิดหรอก มันไม่ไปติดอยู่แล้ว ...แต่ถึงไม่ติดในทุกข์ แต่การกระทำที่มันจำได้ว่าเป็นทุกข์ มันก็พาให้ไปข้องอยู่ในทุกข์ ออกไม่ได้ เหมือนกัน

แต่ไอ้ที่มันคิดไป เจตนาคิดไปเอง จงใจอะไรนี่ ...เพราะในระหว่างที่มันล่องลอยเผลอเพลินนี่ จริงๆ มันมีความสบาย เป็นสุขที่เสวยอยู่ลึกๆ อยู่แล้ว  แต่ว่ายังไม่เจอสุขที่โป๊ะเช๊ะน่ะ แค่นั้นเอง

นี่เขาเรียกว่าโมหะ มันพาให้หาย ลืม ...ตรงนั้นน่ะมีความพึงพอใจเกิดขึ้นแล้ว แล้วมันคุ้น มันเคยในอารมณ์ที่เป็นเราที่สบายๆ ล่องลอยอยู่ ...มันมีความสบายในความเป็นเรา

แต่พอภาวนามาตรงนี้ ความเป็นเรามันไม่ชัดเจน ไม่เด่นชัด คือไม่มีอารมณ์ชัดเจน ไม่มีอารมณ์เด่นชัด ...คือมันจะเป็นลักษณะกึ่งๆ กลางๆ แบบจืดๆ แบบไม่มีรสชาติอย่างนี้ขึ้นมา

มันก็เกิดความกระหวัด หวน ...กระหวัดหวนไปถึงอารมณ์ที่อยู่ในความคิด ที่กำลังคิด หรือว่ากำลังเผลอเพลิน ...นี่ มันหวน


(ต่อแทร็ก 13/25)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น