วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 13/39 (1)


พระอาจารย์
13/39 (570406C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 เมษายน 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  พอมันรู้แล้วว่าเหตุมันอยู่ที่ “เรา” ...นี่เบื้องต้น เบื้องต้นของปุถุชนจิตแล้ว จะต้องมาลงที่ “เรา”  ให้เห็นว่าเหตุแรกเหตุต้นก่อน เป็นเหตุแรก

ซึ่งจริงๆ มันมีหลายเหตุนะ ...ไอ้ “เรา” นี่ยังเป็นแค่เหตุต้นๆ เหตุแรกๆ แต่เมื่อมันสรุปได้ว่าเรานี่เป็นเหตุ ต้นตอต้นเหตุ ...ทีนี้มันจะแก้ที่เหตุแล้ว

เป็นดั่งที่พระพุทธเจ้าบอกว่า...ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนี่เกิดแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นธรรมที่เข้าไปสู่ความดับที่เหตุนั้นๆ

ทีนี้เมื่อมันเห็นว่า “เรา” นี่เป็นเหตุในการเกิดสุขเกิดทุกข์ เกิดความกลัว เกิดความอยาก-ความไม่อยาก เกิดความพอใจ เกิดความไม่พอใจ

ซึ่งอาการพอใจ ไม่พอใจ อยากได้ตามอยาก ไม่ได้ตามอยาก พวกนี้มันเป็นทุกข์ทั้งนั้น ...ถ้าจะไม่ให้มีทุกข์จากอาการเหล่านี้ มันก็ต้องมาแก้ที่เหตุที่ว่า "เรา"

มันก็มุ่งตรงลงที่เดียว... ศีลสมาธิปัญญามันก็รวมลงมาแก้ที่ตัวเรา ความรู้สึกเป็นตัวเรา

ทีนี้มันมาจ่อที่ “เรา” หรือคอยระวังไว้อยู่ที่ "เรา" แล้ว มันจะรู้สึกได้ว่า เรามันไม่หาย เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็มี เดี๋ยวมันก็มีขึ้นมาอีก ไม่รู้จะยังไงดี ...แล้วยังไงถึงจะลบล้างได้หมดได้สิ้น "เรา" นี่

ตรงนี้ ถ้าเราไม่ได้ยินพระเทศน์พระสอน  พอถึงจุดนี้ปึ้บนี่ ไม่รู้จะแก้ยังไง ไม่รู้จะลบล้างความรู้สึกนี้ ที่เดี๋ยวก็หาย เดี๋ยวก็มา เดี๋ยวก็มีๆๆ ...แล้วยังไงล่ะ ทำยังไงถึงจะหมดจากความเป็นเรา

มันก็ยังคอยจะเป็นทุกข์ คอยจะหาสุข คอยจะหาทุกข์อยู่เรื่อยน่ะ..."เรา" ตัวนี้  เจตนาก็มีแทบจะตลอดทุกครั้งเลยที่กระทบทางตาทางหู หรือว่าทางความคิดทางความจำ

พระพุทธเจ้าก็จึงบอกว่าการแก้ที่ “เรา” นี่มันแก้ตรงที่...ปัญญาให้เข้าไปเห็นกายตามความเป็นจริง ว่ามันไม่ใช่เราอย่างไร ...ตรงนี้จึงจะเรียกว่าแก้ “เรา” ที่ต้นตอ

เมื่อมันรู้วิธี หรือว่ามรรควิถี มันเข้าไปสู่ความดับทุกข์ได้ คือว่าดับที่เหตุซึ่งคือ “ตัวเรา” จริงๆ นี่ ทีนี้มันจะไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว มันก็จ่อจรดลงที่กายที่เดียวเลย

เพื่อให้เห็นความเป็นจริงของกายจริงๆ ว่ามันไม่ใช่เราอย่างไร มันเป็นเราอย่างไร มันเป็นของเราหรือไม่เป็นของเราอย่างไร ...เรียกว่างานทั้งหลายทั้งปวงนี่วางหมดเลย เอางานนี้เป็นหลัก มันจะถืออย่างนั้นเลย

มันเชื่อ มันจะค่อยๆ เชื่อแล้ว ...เพราะในระหว่างที่มันทำงาน เพียรเพ่งลงในกายเดียว พิจารณาอยู่ที่กายเดียวปัจจุบันเดียว แรกๆ มันจะละล้าละลัง เพราะว่าอะไร เพราะว่าไม่รู้ว่าจะละ “เรา” ได้จริงรึเปล่า

เพราะว่าในระหว่างที่ทำตอนแรก การกำหนดกำกับอยู่กับกายจริงๆ นี่ มันก็ไม่รู้สึกว่าความเป็นเรามันจะถดถอยลดห่าง ...ก็ยังแทบจะเท่าเก่า เหมือนเก่า มันก็ยังไม่เกิดความเชื่อมั่น ที่เรียกว่าสัมมาทิฏฐิจริงๆ 

อดทนพากเพียรไปๆ ทำไป รู้ไปเหอะ ...ศรัทธา สร้างศรัทธาขึ้นมา เชื่อพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำ ถือว่าเป็นผู้ชี้ทางผู้ชี้นำ ก็เชื่อไว้ก่อน ...ก็เพียร อาศัยวิริยะความเพียร จ่อจรดลงไปในที่เดียวก่อน 

ได้ผล-ไม่ได้ผล...ไม่ว่า ดูเหมือนไม่ได้ผลก็ไม่ว่า เอาลงไป ...ทีนี้พอทำด้วยความไม่ท้อถอย ต่อเนื่อง ผลมันเริ่มบังเกิด ...ค่อยๆ บังเกิดนะ ไม่ใช่บังเกิดแบบ หูย พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเลย 

มันเริ่มเห็นผลว่า ความเป็นเรานี่น้อยลง ความเข้มข้นของเราน้อยลง พร้อมกับความเจือจางในอารมณ์ น้อยลงไป ...อารมณ์ที่เคยเข้มข้นก็เจือจาง อารมณ์ที่เคยยืดยาว เนิ่นช้า เนิ่นนาน ก็ค่อยๆ สั้นลงน้อยลง แคบลง

ทีนี้มันเริ่มเห็นผลชัดในตัวของมันเองเป็นปัจจัตตัง ...อะไรๆ กระทบมาก็ไม่ค่อยรู้สึกว่ามีเรากระโดดออกไปรับเท่าไหร่ ...มันค่อยๆ ห่าง ห่างออกไป ห่างจากความเป็นเรา

ซึ่งมันเคยมีอยู่แทบจะตลอดเวลาทุกการเห็น ทุกการได้ยิน ทุกการคิด ...มันก็รู้สึกว่า “ตัวเรา” นี่ถอยห่างหรือว่าไม่ถี่ หรือว่าไม่ยืนกระต่ายขาเดียวอยู่ตลอดเวลาแล้ว

เนี่ย ความเชื่อมั่นมันบังเกิดตรงนี้ ...ไอ้ตัวความเชื่อมั่นที่เห็นผลจากการเจริญสติในองค์ศีล ในองค์กาย ในองค์รู้ คือสมาธินี่ มันจึงไปทำลายวิจิกิจฉา

ด้วยความเชื่อมั่นตัวนี้ มันจึงทำลายหรือเข้าไปละวิจิกิจฉา ความสงสัยที่ว่า ไอ้ที่เราทำหรือไอ้ที่คนอื่นเขาทำ ใครถูกใครผิด เราถูกหรือเราผิด เขาเร็วหรือเราช้า อันไหนจะได้ผลกว่ากัน

นี่ มันจะคลายตัววิจิกิจฉาตัวนี้ออกไป เพราะความเชื่อมั่นมันบังเกิด จากผลที่มันกระทำ แล้วมันได้ผล...คือความเป็นเราและความเป็นทุกข์ของเรานี่ หรือว่าความแสวงหาสุขปัดเป่าทุกข์ออกไปจากเรานี่...น้อยลง

เจตนาก็น้อยลง ทุกอย่างมันน้อยลงหมด ...แล้วมันก็อยู่ด้วยความปกติมากขึ้น อยู่กับความธรรมดา อยู่กับความเรียบง่าย อยู่กับความเป็นกลางๆ ได้ยาวนาน

หรือว่าในที่ที่ไม่เคยอยู่เป็นกลางได้ มันก็รู้สึกเป็นกลางได้  หรือในที่ที่มันไม่สามารถจะรับได้ในสภาพนั้นแต่เก่าก่อน มันก็สามารถรับได้

กับบุคคลที่เคยเกลียดกันอย่างมาก เคยไม่พอใจมาก มันก็สามารถรับรู้รับเห็นได้ พอกระเทินได้น่ะ ...เนี่ยคือผล มันก็คลายความวิจิกิจฉาลงไปเรื่อยๆ

แล้วมันคลายวิจิกิจฉา มันก็ยิ่งเพียรเพ่งลงไปในกายเดียวไป เพื่อลบล้าง ...มันก็เห็นแล้วว่ามันสามารถลบล้างความรู้สึกเป็นตัวเราของเราในกายนี้ในกายเขาได้จริง

อันนี้ไม่ได้จริงตามตำราแล้ว ไม่ได้จริงตามคำพูดกล่าวอ้างของคนอื่นแล้ว ...แต่มันจริงด้วยตัวผู้ปฏิบัตินั่นเอง มันจริง มันรับรู้ได้จริง 

มันสำเหนียกได้จริงว่าผลมันปรากฏจริง เรียกว่ามันก็เกิดภาวะที่เรียกว่ามุ่งมั่นทุ่มเทอยู่ในการแก้การละที่เหตุนี้โดยตรง เรียกว่าเริ่มลงทุนแบบเต็มร้อยแล้ว

ซึ่งตอนแรกที่ฟังเรา...ที่พูดว่าให้รู้กายดูกายมากๆ นี่ คือพวกเราที่มาฟัง แรกๆ นี่ จะลงทุนประมาณสักห้าหรือสิบหรือยี่สิบ เข้าใจมั้ย ยังไม่กล้าทุ่มเต็มตัว

แต่พอทำไปเรื่อยๆ อย่างที่เราบอกอย่างนี้ ...เมื่อผลมันบังเกิดปุ๊บ ทีนี้มันลงร้อย...มีร้อยลงร้อย มีพันลงพัน ที่เรียกว่าทุ่มหมดหน้าตักเลย

ทีนี้ผลความก้าวหน้านี่ มันก็จะรุดหน้า รุดๆๆๆ แบบ เขาเรียกว่าอะไร...เอาชีวิตเข้าแลก มีเท่าไหร่ทุ่มลงไปสุดตัว มีแค่กายเดียวคือกายเดียวจริงๆ

จิตแม้แต่น้อยนิด อารมณ์สภาวะต่างๆ ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางอดีตทางอนาคตจากจิตคิดนึกปรุงแต่ง จากสัญญาอะไร ...ไม่เอาเลย ไม่เอาเลย ทุ่มลงที่กายเดียวจริงๆ

ความชัดเจนเป็นหนึ่งในกาย ความเป็นหนึ่ง ปรากฏขึ้นเป็นหนึ่งกายหนึ่งธรรม มันก็เริ่มสว่างตามความเป็นจริงของเขา ตามลำดับลำดาไป ละเอียดๆ ไป

ยิ่งสว่างเท่าไหร่ มันยิ่งละเอียด ส่องเข้าไป เรียกว่าเหมือนเอากล้องจุลทรรศน์เข้าไปส่องเลยน่ะ จนถึงเป็นอณูธาตุอณูธรรมเลย...ในกายนี่

พอมันจรด หรือมันลงในกายแบบล้วนๆ ที่เดียวจริงๆ  ทีนี้มันแตกออกหมดเลย...อวิชชา อำนาจของจิตที่อวิชชามันส่งออกมาทางจิตปรุงแต่งนี่

มันไม่สามารถมาก่อรวม รวบรวมความเป็นก้อนกายเรา กายเขา กายชาย กายหญิง ...มันเป็นอณูธาตุ อณูความรู้สึกพึ่บพั่บๆ อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา

มันไม่มีช่องว่างให้กิเลสมันก่อเกิดได้..มารวมตัวกันเป็นรูปทรง ทรวดทรง สีสัน วรรณะ สัณฐาน แล้วก็ความประมาณประเมิน ...มันจะไม่มีตัวนี้ออกมาเลย

มันไม่มีช่องให้จิตมันออกมาประเมินเลย หรือมารวมกันปุ๊บแล้วก็ประเมินว่านี่สวย นี่ไม่สวย นี่ไม่ดี นี่สูงนี่ต่ำ นี่ดำนี่ขาว นี่ถูกนี่ผิด นี่เป็นเรียกว่าแขน ว่านั้นนี้

มันไม่มีช่องให้จิตนี่ออก มันก็แตกๆๆ ...เนี่ย กายแตกหมดเลย กายนี่แตกละเอียดเลยน่ะ

พอกายมันแตกละเอียดปั๊บนี่ จากที่มันรวมกันเป็นก้อนเรา ก้อนกายมีหนังหุ้มอยู่นี่ ...กายที่มันแตกแล้วนี่ มันกลับไปรวมกับธาตุทั้งหลายทั้งปวง

คือทั้งหมดสรรพสิ่งที่เป็นวัตถุนี่ ที่เป็นวัตถุธาตุภายนอกนี่...กับสรรพสิ่งที่เรียกว่าเป็นความหมุนวนของกายเกิดดับ ...มันจะรู้สึกว่ามันเป็นเนื้อเดียวกัน

มันกลับไปเชื่อมต่อหรือไปสมานกันกับภายนอก หรือว่าธาตุภายนอก ...นี่เขาเรียกว่า เมื่อมันทำลายธาตุภายใน ทำลายความรวมตัวของธาตุกายธาตุเรานี่ กายเรานี่

มันกลับไปรวมธาตุในสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน ...มันจะไม่เห็นเลยว่า นี้กับอากาศ นี้กับโต๊ะเก้าอี้ นี้กับความร้อน ลม แตกต่างกันเลย มันเป็นอันเดียวกันเลย

ที่มันเห็น ที่มันเชื่อ ที่มันเข้าถึง ที่มันเข้าใจ ที่มันยอมรับในสภาพอย่างนี้เพราะอะไร ...เพราะจิตนี่จะไม่แบ่งกับอะไรเลย จะไม่ออกมาแบ่งว่านี้เป็นกาย นี้เป็นไม่ใช่กาย นี้เป็นกายเรา นี้เป็นกายอะไร...ไม่มี

มันเลยรวมธาตุทั้งสรรพสิ่งทุกสรรพสิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย ...มันรวมใหญ่นะนั่น รวมธาตุใหญ่ มันเชื่อม ...ตรงเนี้ย ที่ท่านเรียกว่ามหาศีล เข้าใจมั้ย


(ต่อแทร็ก 13/39  ช่วง 2)


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น