วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 13/40


พระอาจารย์
13/40 (570406D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  (ถามถึงโยม) ...ไม่มาหรือ

โยม –  อยากมาเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่พอดีมีเรื่องด่วนที่อยากมากราบพระอาจารย์ก่อน ก็เลยมานี่


พระอาจารย์ –  อือ ว่าไง มีอะไร

โยม (อีกคน)  พอดีว่า คิดว่าลาออกจากโรงเรียนเลย ดีไหมครับ


พระอาจารย์ –  อย่าไปลา อย่าเพิ่งลา ทำไปตามปกติทางโลกก่อน ...แล้วก็ปฏิบัตินี่ ก็ปฏิบัติคู่กันไปก่อน ให้มันถึงขีดที่เรียกว่า จบปริญญาตรีก่อน เข้าใจมั้ย อย่าใจร้อนๆ อย่าเพิ่งรีบเร่ง

บ่มก่อน บ่มอินทรีย์ก่อน บ่มโลก บ่มทั้งทางโลกแล้วก็บ่มทั้งทางธรรม ...อย่าเพิ่งคิด อย่าเข้าใจว่าการเห็นสภาวธรรมบ้างแล้วนี่ มันจะสมบูรณ์ได้แบบใจนึก มันยังไม่ง่ายถึงขนาดนั้นน่ะ

ใช้เวลา... มันใช้เวลาพอสมควร มันจะต้องอาศัยอินทรีย์โดยรอบ ทางตา ทางหู ทางจมูก การกระทบ การเรียนรู้กับทุกข์ที่มันค่อยๆ เป็นตัว catalyze เป็นตัวเร่ง

อย่าเพิ่งรีบ ให้มันมีความชำนิชำนาญในการประสบทุกข์ทางตา ทางหู ทางเรื่องราวเสียก่อน ...ทีนี้บวช-ไม่บวช ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  แล้วมันจะเป็นไปตามครรลอง ไม่ใช่เป็นไปตามความอยาก อย่างนี้อยาก


โยม   พอดีเมื่อวานเขารู้สึกอย่างกับข้างในใจเขาร้อนรุ่ม แล้วก็รู้สึกว่าอยู่ทางโลกเขาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร อยากจะมุ่งมั่นลงในการปฏิบัติธรรม

พระอาจารย์ –  ยัง มันเป็นแค่อารมณ์หนึ่ง ยังเป็นแค่อารมณ์ เท่านั้นเอง  ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็ผ่านไป

อดทนในสิ่งที่ไม่อยากก่อน จนวางจิตวางใจให้ได้เป็นกลางๆ ไม่ตามความอยาก แล้วก็ไม่ตามความไม่อยาก ...ฝึกก่อนๆ  อย่าไปเอาความอยากเป็นตัวไกด์นำ อย่าเอาความไม่อยากเป็นตัวไกด์ไลน์

เอารู้ เอาตัวรู้ เอาฐานรู้ เอาฐานผู้รู้นี่เป็นไกด์ เข้าใจมั้ย ...ถ้าเอารู้เป็นไกด์...ไลน์นี่จะกลาง เดินไปท่ามกลางสุขและทุกข์ ...ต้องเรียนรู้ตรงนี้ก่อนนะ

อย่าเอาความอยากเป็นไกด์ มันจะมีไลน์...ไลน์ไหน ซ้ายกับขวา เข้าใจมั้ย ถ้าไปเอาความอยาก เอาตัวเราเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์นี่ มันจะออกในสองช่อง คือตามความพอใจ กับตามความไม่พอใจ

สองทางนี้ เป็นไปด้วยความตกระกำลำบาก ...ไม่สำเร็จ จะไม่สำเร็จดังประสงค์ของเรา บอกให้เลย

แต่จริงๆ แล้วลักษณะอาการอย่างนี้ เราก็เคยเป็น สมัยก่อน เราเป็นยิ่งกว่านี้อีก ...แต่ว่ามันเป็นในลักษณะที่ว่าเราเรียนจบทำงานแล้ว เรารู้สึกโลกนี้ทั้งโลกนี่..ที่เท่าฝ่าตีนเราเหยียบนี่ไม่มี

ทุกข์...มันทุกข์ ไม่รู้จะอยู่ที่ไหน ไม่รู้มันเป็นโรคอะไรของมัน มันรู้สึกอย่างนี้ กระสับกระส่ายร้อนรุ่มไปหมด มันก็มีความวาบขึ้นในจิตว่า ที่เดียวน่ะ...“บวช”

พอมันขึ้นมาว่า “บวช” ปั๊บนี่ ทุกอย่างเย็นหมดเลย มันจะเป็นอย่างนั้น ...ตรงนั้นน่ะ เราถึงตัดสินใจลาออกจากงาน ทิ้งหมดเลย ลาออกวันนั้นเลย พอตัดสินใจได้ว่าลาออก


โยม   พระอาจารย์คิดนานมั้ยคะ

พระอาจารย์ –  ไม่นาน พอเลย ไปบอกหัวหน้าเลย พอเลย


โยม –  ตอนนั้นพระอาจารย์ภาวนามาก่อนมั้ยคะ

พระอาจารย์ –  เราภาวนามาตั้งแต่เด็กนะ นั่งสมาธิมาตั้งแต่เด็ก เด็กกว่านี้อีก เราเห็นกายเราเป็นอสุภะมาตั้งแต่เด็ก เราเห็นความตายมาตั้งแต่เด็กแล้ว

สมัยเราอายุสักสามสี่ขวบ พ่อแม่เขาบอกว่า เวลาเราเล่นกับเด็กกับพี่กับน้องนี่ เราชอบเอาผ้ามาห่มเป็นพระ สามขวบสี่ขวบนะนั่นน่ะ

แล้วเวลาเราตัดสินใจว่าจะบวช คืนนั้นเราฝัน ฝันว่าเราไปนั่งอยู่ในแท่นประหาร ที่เขาประหารกันสมัยโบราณ ที่นั่งพนมมือกับพื้น พิงเสาแล้วก็เหยียดตีนออกไป

เพชฌฆาตเอาดาบมา แล้วก็ว่า...จะฆ่าแล้วนะ จะตายมั้ย ยอมมั้ย  เราก็บอกว่ายอม มันก็เงื้อง่า แล้วก็ไม่ฟัน ถามอีก...จะฆ่านะ ยอมตายมั้ย...ยอม เงื้ออีก ไม่ฟัน

ครั้งที่สามถาม...จะตายมั้ย ...ยังตอบไม่ทันเสร็จเลย ฟันฉับ คอขาดกระเด็นเลย  แต่ไม่กลัว ไม่กลัวเลยนะ นี่เป็นนิมิต...นิมิตของเรา

แต่เราบอกแล้วว่า ขนาดนั้นน่ะ เรามาบวช การภาวนาไม่ได้รุดหน้าอะไร บอกให้เลย ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเลย ตกระกำลำบากทั้งกายทั้งจิต ตกอยู่ภายใต้ความลังเลสงสัยในการภาวนา

มันไม่เป็นไปดั่งที่วาด ที่เราเข้าใจว่ามันจะพึ้บๆๆๆ ไปเลย...ไอ้ห่าเอ๊ย กูโดนนิมิตหลอกนี่หว่ายังงี้ ยังนึกอยู่เลยตอนนั้น นี่ขนาดเราเป็นลูกศิษย์พระอรหันต์นะ พระอรหันต์เป็นอาจารย์นะ

แล้วอยู่แบบไม่ไปไหนเลยนะ แล้วทำตามวิถี ฟังเทศน์ฟังธรรม ทุกวันทุกกระเบียดนิ้วเลยนะ กูยังภาวนาไม่ได้เรื่องเลยน่ะ ...มันไม่ง่ายอย่างนั้นเลยนะ

แต่สันดานของเรานี่มันมีความอดทนมาก ถ้าดื้อก็เรียกว่าดื้อแบบหัวชนฝา ไม่ถอย ...แล้วความเพียรเราไม่ใช่เล็กๆ เราไม่นอน เราไม่หลับ ตั้งสองปีสามปี

และอยู่ในสามอิริยาบถ หลังไม่โดนพื้นนี่อีกไม่รู้กี่ปี กูยังไม่ไปไหนเลย ...การบ่มอินทรีย์นี่ไม่ใช่ของเล็กน้อยเลย แล้วยังต้องอาศัยกำลังบารมีของครูบาอาจารย์ระดับเป็นพระอรหันต์น่ะคอยครอบเอาไว้ด้วย

นี่ก็ถือว่าเร็วที่สุดแล้ว ...แต่ว่าความเพียรนี่สาหัสสากรรจ์ เราเดินจงกรมนี่ อย่าถามเป็นชั่วโมง ถามเป็นคืน เดินจนตีนนี่เลือดออกซิบๆ น่ะ แตกหมด ความเพียรนะ

เจ็ดวันเราฉัน สิบห้าวันเราฉัน เราฉันวันเว้นวัน  จิตก็ยังไม่ไปไหนเลย บอกให้เลย ปัญญงปัญญาก็ไม่เกิด ละอะไรก็ไม่ได้สักอย่างสักตัวเลย ...แต่ความเพียรก็ยังไม่หยุดเลย

เพราะนั้นไอ้ที่พวกเราคิดนี่ หรือนึกภาพว่า บวชซะ สบาย ...ไอ้นี่ขนาดว่าอยู่กับพระอรหันต์วัดป่านะ ไหนจะงานราษฎร์ ไหนจะงานหลวง ก่อสร้างก็ต้องทำ อะไรก็ต้องทำ

เวลาภาวนาจริงๆ จังๆ มันก็ถูกแย่งแบ่งเวลาไปหมด จะปลีกตัวไปอยู่คนเดียวในวัด แล้วไปภาวนาแบบเต็มที่ไม่ได้ โดนด่า หมู่คณะเขาไม่เอาด้วย ตำหนิ รังเกียจ ...มันไม่เหมือนที่เราฝันหรอก


โยม –  ที่คิดไว้ก็คือ เขาจะแยกตัวกันไปอยู่สองคนพ่อลูก แล้วก็ให้พ่อเขาเป็นคนสอน

พระอาจารย์ –  ให้มันถึงเวลาก่อน ให้มันเต็มทางโลก ...ค่อยๆ ใจเย็นๆ สะสม บ่มไปๆ  จนกว่าภายใน มันจะค่อยๆ ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละเล็กทีละน้อยๆ slow but sure


โยม (อีกคน)   พระอาจารย์คะ ขออนุญาต คืออย่างโยมมองว่า จะมองในอีกทางหนึ่งได้มั้ยคะว่า อย่างน้อยอยู่ในกรอบของพระมันก็เหมือนล้อมว่า...เราจะต้องภาวนา เราจะต้องดู 

แต่ถ้าอยู่โลกข้างนอกนี่ มันก็มีโอกาสที่จะปล่อยมากกว่า หลายๆ คนที่เขาบอกว่า เอ้ย ภาวนาข้างนอกก็ได้ แต่ถึงเวลาเขาก็ปล่อย เพราะฉะนั้นถ้าเกิดมาอยู่อย่างนี้ เขาก็จะ...ด้วยกรอบ ด้วยศีล รูปแบบอะไรอย่างนี้ มันก็อาจจะทำให้...

พระอาจารย์ –  หนีเสือปะจระเข้ บอกให้เลย คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า ...พวกเรามองภาพไม่ออกหรอก  พอเข้ามาถึงจริงๆ นี่ กรอบแกรบอะไรนี่ เอาไม่อยู่หรอก บอกให้เลย

สิ่งแวดล้อม คนรอบข้าง นักบวชด้วยกันเอง...มันไม่ใช่เป็นนักบวชที่ฝากเป็นฝากตายอยู่กับการหลุดพ้นโดยตรงเลย


โยม –  ก็ยังมีกิเลสอยู่

พระอาจารย์ –  ยิ่งกว่ากิเลสฆราวาสอีก บอกให้ ...เพราะนั้น อยู่เรียนไป มีเวลาว่าง แยกตัว อย่างนี้ดีกว่า


โยม –  โยมก็ไม่ค่อยชอบสุงสิง

พระอาจารย์ –  ดีแล้ว ฝึกไป ให้มันคุ้นเคย เรียนรู้กับทุกข์ อย่าเพิ่งออกจากทุกข์ อย่าเพิ่งปฏิเสธทุกข์ ...ไปเรียนกับมัน ไปทนอยู่กับมัน แล้วก็ภาวนาไปพร้อมกัน

ที่เราเล่าให้ฟัง สมัยที่เราทำความเพียร แล้วไม่เกิดสติสมาธิปัญญาแบบละวางอะไรเลย ...อาศัยว่าหลวงปู่ท่านเป็นคนดึงเราออกมาจากปลักแห่งความเพียรโง่ๆ

แล้วให้มาอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นทุกข์ จะต้องมาปฏิสัมพันธ์กับผู้คน จะต้องมาทำหน้าที่รับแขกญาติโยม จะต้องมาทำหน้าที่รับภาระในการดูแลงานวัด โดยปฏิเสธไม่ได้

เวลาเราจะหนี หรือเวลาท่านไปนิมนต์หลายวันนี่ เราก็จะแอบไปทำความเพียร ...พอหลวงปู่กลับมาแล้วไม่เห็น เพราะเราอดข้าวไม่มาฉัน ท่านก็จะให้พระไปเรียกเรา มันไปทำอะไรของมัน มาเฝ้าถ้ำ มารับแขก 

คือไม่ได้รับแขกแบบนี้ เข้าใจมั้ย เวลาหลวงปู่ไม่อยู่ก็จะต้องมีคนคอยอยู่ถ้ำประจำ ทิ้งไม่ได้  แล้วเวลาคนอยู่ถ้ำสมัยหลวงปู่อยู่นี่ หมายความว่าตายตัวคนไหนคนนั้น

สมัยนี้เขาหมุนเวียน เขาหมุนเวียนพระคนละสามวัน คนละเจ็ดวัน ก็เปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตา ...แต่สมัยหลวงปู่นี่ ถ้าฟิกซ์คนไหนก็คนนั้นอยู่

เพราะนั้นน่ะ ระหว่างนั้นเราก็ว่า แล้วกูจะเอาเวลาที่ไหนไปภาวนาวะ นึกๆ อย่างนั้น  เคยภาวนาเป็นกอบเป็นกำ นั่งทั้งวัน ยืนทั้งวัน เดินทั้งวัน ไม่พูดกับใครทั้งวัน

แต่ก็โง่ทั้งวันเหมือนกัน ไม่ได้อะไร ได้แต่ความอดทน แต่ภูมิปัญญาไม่มี ละอะไรก็ไม่ได้ ไม่เข้าใจอะไร

แต่พอมาเรียนรู้อยู่กับทุกข์นี่ ...คือเรานี่ เป็นคนที่ปฏิสัมพันธ์กับคนได้ยากที่สุด โดยสันดานไม่ชอบคุยกับมนุษย์ ไม่รู้เป็นโรคอะไร พูดจาก็ไม่ค่อยเข้าหูคน

แล้วก็เบื่อ แล้วก็เกลียดที่สุดในการมาซักไซ้ไล่เลียง ...แล้วมันเป็นสภาพที่อดไม่ได้ เนี่ย เข้าใจคำว่ารับแขกมั้ย มันจะต้องเจอสภาวะอย่างนี้

ความมักง่ายของญาติโยม ความเห็นแก่ตัวของญาติโยม ความเอารัดเอาเปรียบของญาติโยม คือไอ้พวกนี้ ญาติโยม เวลามันจะเอาอะไรกับหลวงปู่นี่ เข้าใจมั้ย มันจะต้องเอาให้ได้

คือถ้าเป็นฆราวาสตอนนั้นกูโดดเตะแล้ว บอกให้ ประมาณนั้นน่ะ มันแสดงอากัปกริยาอาการที่มันล่วงเกิน หรือว่าไม่เคารพ ...มันเอาแต่ความละโมบ

คือถ้าพูดว่าแจกของนี่ พึ่บ มัน..แหม เหมือนกับผีเปรต ประมาณนั้นน่ะ ...เราก็นึก มันอะไรกันนักกันหนาวะนี่ มันแทบจะเหยียบกันตาย อะไรอย่างนี้

แล้วเราอุปัฏฐากหลวงปู่อีก มันก็ต้องเจออ่ะ ไอ้ประเภทอย่างนี้  จนหลวงปู่...บางทีแจกของนี่ต้องยืนแจกน่ะ คือถ้ามันมาทึ้งเอาผ้าจีวรท่านได้มันก็คงเอาไปแล้วน่ะ ประมาณนั้น

นั่น หูตาเราก็เดือดพลั่กๆๆๆ อยู่อย่างนั้น แกล้งทำเป็นสำรวมไว้อย่างนั้น ...เนี่ย เรียนรู้อย่างนี้ไง ในสิ่งที่รับได้ยาก แล้วเรารู้สึกว่ามันขัดกับภาวนาอย่างยิ่งเลย...ตอนนั้นนะ

เห็นมั้ยว่าครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนี้นะ ท่านสอนเรามาอย่างนี้นะ ท่านไม่ให้หนีทุกข์เลยนะ ท่านให้เผชิญอยู่กับทุกข์ ...อะไรที่ว่ายาก อะไรที่ว่าไม่สงเคราะห์ต่อการภาวนาตามประสาที่เราว่านะ

ท่านให้ทำอันนั้นน่ะ ท่านให้อยู่กับอันนั้น...โดยไม่มีบอกเหตุและผล  ท่านไม่พูดว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ...นี่ ขัดใจๆ มันไม่ได้เป็นการที่เอื้อต่อการภาวนาตามความคิดของเราแต่ก่อนเลยนะ 

นั่นแหละ ศีล สติ สมาธิ ปัญญา ที่แท้จริง...ที่เรียกว่าเป็นสัมมา มันเกิดช่วงนั้น

เรียนรู้เอาจากทุกข์ เรียนรู้จากสิ่งที่ไม่ปรารถนา เรียนรู้จากกิเลสของสัตว์บุคคลที่มันมากระทบกิเลสของเรา ...เรียนรู้กับตรงนั้น เป็นสมรภูมิรบ เจอทั้งวัน เจอทุกวัน


(ต่อแทร็ก 13/41)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น