วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 13/15


พระอาจารย์
13/15 (570222C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
22 กุมภาพันธ์ 2557


พระอาจารย์ –  ที่พูดมาทั้งหมดก็เพื่อให้เห็นความสำคัญของกายปัจจุบัน ว่าสำคัญยังไง สำคัญแค่ไหน สำคัญจริงๆ มั้ย สำคัญกว่าสมาบัติขนาดไหน 

เพราะท่านไม่เคยได้สมาบัติ แต่กำลังอยากได้สมาบัติ ...ถ้าให้ผมเปรียบ ให้ผมเลือก ผมเลือกที่จะทิ้งสมาบัติ ผมเลือกที่จะรักษากาย

ถ้าให้เปรียบว่าเป็นนางงามจักรวาล ว่าสวยที่สุดในโลกในจักรวาลก็ตาม  ผมเลือกว่าศีลนี่งามกว่า มีความงามกว่าความงามของมิสยูนิเวอร์สอีก ...แล้วเป็นความงามที่ไม่ตาย เป็นความงาม เป็นความหอมทวนลม

ความงามของมิสยูนิเวอร์ส มันงามแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ไม่เกินห้าสิบปีก็หง่อม ไม่งามแล้ว ...แต่ความงามของศีลไม่มีหง่อม ไม่มีเสื่อม ...แสดงความงดงาม หอมหวน จนวันตาย

เพราะนั้นด้วยปัญญาที่มีแบบเล็กๆ ประสาผมนี่ ถ้าให้ผมเลือก ผมเลือกความงามของศีล แล้วผมยอมทิ้งความงามของคน ...และหน้าที่ของผมต่อไปก็คือ ผมพยายามมาไซโคพวกท่านให้เห็นตามที่ผมเห็น 

นี่ พยายามมาไฮด์ปาร์คให้ท่านเชื่อ ว่านี่งามจริงๆ นะ เชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของท่าน ...เพราะนั้นหน้าที่ของพระนี่ เหมือนกันกับงานไฮด์ปาร์ค พยายามดึงดูดให้เห็นว่า นี้ดีกว่า นี้งามกว่า นี้จริงกว่า 

ซึ่งพวกท่านที่ฟังอยู่นี่อาจจะไม่เชื่อ เพราะท่านยังไม่เห็น และท่านไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าจริง หรือว่าสวยกว่ายังไง มันได้แค่มโนภาพนึกเอา ไม่เหมือนกัน

เพราะนั้นหน้าที่ของพระนี่ ก็สั่งสอนอย่างนี้ เพื่อให้เกิดความโน้มน้าว ให้เห็นดีเห็นงามไปอย่างนี้ก่อน ...จนมันเกิดความฉันทะ ความพึงพอใจ แล้วเอาไปทำ แล้วมันจึงจะค่อยๆ เห็นจริงไปตามลำดับลำดา 

ซึ่งต้องใช้เวลา ...ไม่ใช่มาฟังแล้วปึ้บ กลับไปทำปั๊บ แล้วไม่เห็นผลปุ๊บ...เลิก ... มันต้องใช้เวลา...พอสมควร  

ไอ้การใช้เวลาพอสมควรที่จะต้องทำให้ต่อเนื่องนี่ ท่านเรียกว่าเป็นการไปประกอบความเพียร หรือวิริยะ พากเพียร อดทน ต่อสิ่งที่น่าเบื่อ 

การกระทำอย่างนี้สำหรับปุถุชนทั่วไปนี่ จะรู้สึกว่าน่าเบื่อ จะรู้สึกว่าไม่ได้อะไร จะรู้สึกว่าไม่สนุก ไม่ม่วน ไม่สบาย ไม่เป็นอิสระ ...นี่ท่านจะต้องเพียรอดทนต่ออารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้

ผลมันก็จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นตามลำดับ...โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ...แบบท่านกินเกลือนี่ จะต้องรู้สึกว่าเค็ม หลีกเลี่ยงไม่ได้  ต่อให้ปากท่านจะพูดว่าไม่เค็มๆ หรือว่าหวานๆ ...ยังไงก็เค็ม 

นี่คือผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยถ้าท่านทำจริง รักษาศีลนี้จริง ทำความต่อเนื่องในองค์ศีลนี้จริง ...ผลก็เกิดจริง เลี่ยงไม่ได้ เหมือนรสชาติของเกลือที่โดนลิ้นน่ะ...ยังไงก็ต้องเค็ม 

ต่อให้เกลือนี่จะไปอยู่ในผัก เกลือนี่ไปอยู่ในเนื้อ เกลือนี้ไปอยู่ในน้ำ แล้วท่านกินน้ำโดยที่มีเกลืออยู่ในนั้น ยังไงก็เค็มวันยังค่ำ ไม่ว่าเกลืออยู่ที่ไหนติดกับอะไร 

เพราะมันเป็นของจริง ไม่มีอะไรจริงกว่านี้ ผลก็เกิดตามความเป็นจริงนั้นของศีล นี่ พระพุทธเจ้าต้องการอย่างนี้ พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าต้องการให้ปฏิบัติเพื่อมุ่งไปสู่จุดนี้ 

แต่ไอ้สิ่งอื่นที่ท่านพูดขึ้นมาใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี่ แล้วท่านสาธยาย สาธกพุทธวจนะ หรือเป็นการวิจยะธรรมที่หลากหลายแตกต่างกันขึ้นมา เป็นองค์ธรรม 

เหล่านั้นล้วนแล้วเป็น Accessory ...ไม่ใช่โดยหลัก ไม่ใช่ตัวแก่นของธรรม ไม่ใช่แก่นของวิธีการปฏิบัติ ...เหล่านั้นน่ะคือกระพี้ เปลือก และใบ 

ทำไมท่านจะต้องพูดเรื่องกระพี้ เรื่องใบ เรื่องเปลือก ทำไมไม่พูดแต่แก่นอย่างเดียวเลยล่ะ...ก็ไม่ได้ ...เพราะว่าแก่นนี้มันจะตั้งอยู่ได้ มันต้องอิงอาศัยกระพี้เปลือกใบด้วย 

เหมือนแก่นของต้นไม้ ...มันต้องมีกระพี้ เปลือก ใบ ห้อมล้อมอยู่ด้วย...มันอิงอาศัยกัน  เช่นนี้ ศาสนาจึงยืนยาวได้ถึงห้าพันปี

แต่เมื่อใดนี่ที่ท่านถูกชี้นำในทางที่ไม่เข้าไปสู่แก่น ท่านก็จะวนอยู่กับกระพี้และเปลือก ถ้ามีคนชี้นำที่ไปเห็นว่าเปลือกและกระพี้นี้คือแก่น ท่านก็จะไปวนเข้าใจว่านั่นคือแก่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันคือกระพี้และเปลือก

เพราะนั้นหน้าที่ของผม หน้าที่ของพระจริงๆ น่ะ จึงดูเหมือนเป็นหน้าที่ที่ขัดแย้งกับคำสอนของคนอื่นซะเหลือเกิน ขัดแย้งกับความเห็นของคนในโลกเหลือเกิน 

เพราะว่าหน้าที่ของพระหรือของผมนี่ เพื่อชี้ว่าแก่นนี่อยู่ตรงนี้ ...ซึ่งมันจะขัดแย้งกับความคิดความเห็นของพระโดยรวมโดยมาก กับคนในโลกโดยมากโดยรวม ว่าเปลือก ใบ นั่นแหละคือแก่น 

วัดจึงเต็มไปด้วยโบสถ์หลังใหญ่เต็มไปหมด งามยิ่งกว่าบ้านของมหาเศรษฐีอีก ...แต่เข้าไม่ถึงแก่น แล้วก็พยายามจะสอน แล้วก็พยายามจะแนะให้คนเห็นว่านั่นน่ะคือแก่น ...เนี่ย มันก็ต้องแย้งกันอย่างเนี้ย

หรือคนหรือคำสอนที่พยายามจะบอกว่าการทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ การปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ สำคัญกว่า เหนือกว่าศีลสมาธิปัญญา ...ยังไงๆ ผมก็แย้ง นี่คือหน้าที่ 

ไม่ได้อยากจะแย้ง แต่มันเป็นหน้าที่...ที่จะรักษาศีลสมาธิปัญญาที่แท้จริงไว้ จนจบสิ้นอายุขัย อายุขันธ์ อายุพระศาสนา ...มันเหมือนเป็นหน้าที่เสียแล้ว 

หน้าที่ที่จะธำรง ที่จะดำรง คงความเป็นจริงของศีลสมาธิปัญญาให้ยั่งยืน ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แข่งกับพวกที่จะทำลายล้างศีลสมาธิปัญญาให้มันด้อยค่าด้อยราคาลงไป

นี่ ให้เข้าใจตามนี้ ...ไม่ใช่ว่าผมมาตั้งหน้าตั้งตาขัดแย้งความเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง เพื่อการใดนะ ...แต่เพื่อธำรงขุมทรัพย์นี้ไว้ ให้เห็นว่าเป็นขุมทรัพย์ยังไง 

ว่าศีลสมาธิปัญญาแค่นี้...มันเป็นทรัพย์ อริยทรัพย์ขนาดไหน จริงยิ่งกว่าจริงขนาดไหน ไม่มีอะไรมาลบล้าง ไม่มีอะไรมาเหนือกว่า ไม่มีอะไรประเสริฐกว่า

ซึ่งเหล่าพวกท่านๆ เธอๆ ทั้งหลายก็ไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่หรอกในเบื้องต้นทุกคน มันเป็นเรื่องธรรมดาเลย ...มันเห็นว่าอะไรที่มันอยู่ข้างหน้า อะไรที่มันมองไม่เห็นนั่นน่ะยิ่งกว่าเสมอ 

นี่คืออนุสัยเลย ...อะไรที่ยังไม่เกิด อะไรที่ยังไม่ถึง อะไรที่ไม่รู้อยู่ที่ไหนนี่ มันรู้สึกว่าไอ้ตรงนั้นน่ะจริงกว่าดีกว่าหมด ...อะไรที่อยู่ตรงนี้ อะไรที่มันปรากฏอยู่ในปัจจุบันตรงนี้ เท่าที่ตาเห็นนี่ ไม่ดีน่ะ น่าเบื่อ 

แล้วมันจะไปหาอะไรที่มันมองไม่เห็นน่ะ นั่น จิตจะทำงานตรงนั้น ...คืออารมณ์ตอนนี้ ที่เกิดอยู่ตอนนี้ น่าเบื่อ มันก็พยายามจะไปหาอารมณ์ สร้างอารมณ์ที่ยังไม่มี ที่มันว่าดีกว่านี่ ...นี่คือหน้าที่ของจิตผู้ไม่รู้

พอให้มาอยู่กับอารมณ์ปัจจุบันนี่...เบื่อ น่าเบื่อ ธรรมดา ... ให้อยู่กับความปรากฏของกายปัจจุบัน ตึงๆ แข็งๆ แน่นๆ  มันก็จะไปหากายผู้หญิงกายสวยๆ นึกแล้วมันมีความสุข เห็นมั้ย 

หรือว่านึกถึงกายของตัวเองนี่ที่ไปดูหนังฟังเพลง ไปพบปะพูดคุยกับคนอื่น แล้วมันมีความสุข ...มันจะสร้างกายตัวนั้นมาหลอก

แต่ถ้าอยู่กับกายตัวนี้มันไม่อะไร ไม่มีอารมณ์อะไรเลย ธรรมดา มันก็ไม่อยู่ ไม่อยากอยู่ ไม่ชอบอยู่ มันปฏิเสธความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา

เพราะนั้นหน้าที่ของพระพุทธเจ้า หน้าที่ของพระ ก็พยายามจะสั่งสอน เพื่อจะฝึกอย่างไรที่จะไม่ให้จิตมันออกจากนี้ จุดนี้ ...นี่เรื่องยากนะ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ 

ดูเหมือนธรรมดาๆ นี่ ...แต่เป็นเรื่องที่รักษาได้ยากยิ่งนะ ไม่ใช่ของทำกันได้ทุกคนไปนะ ...นี่ให้เข้าใจ ว่าความสำคัญของการปฏิบัติอยู่ตรงไหน หลักของการปฏิบัติที่แท้จริงนี่คืออะไร 

อะไรที่มันเกินจากศีลสมาธิปัญญานี่ วางได้...วาง ละได้...ละ  อย่าไปกระตือรือร้นขวนขวายกับมัน ให้มากระตือรือร้นอยู่แค่ในองค์ศีลสมาธิปัญญานี่

ศีลคือกายปัจจุบัน สมาธิคือจิตที่ตั้งมั่นอยู่กับกายปัจจุบัน ปัญญาคือสอดส่องลงในองค์กายปัจจุบัน ...ทุกความรู้สึกความปรากฏของกายปัจจุบัน 

สอดส่องด้วยความแยบคาย...มันเป็นใคร มันคือใคร มันเป็นของใคร มันมีเพศชาย มันมีเพศหญิงอย่างไรในความรู้สึกตรงนี้

คือถ้าทำในลักษณะของจิตเป็นองค์ประกอบในศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้ ท่านไม่ต้องกลัวหรอกว่าท่านจะไม่หลุดพ้น ท่านไม่ต้องกลัวหรอกว่าท่านจะต้องมาเกิดตายซ้ำซากหรือไม่

มันจะค่อยๆ ลึกซึ้งแจ่มแจ้งในองค์กาย ในองค์ขันธ์ ในตัวของเราเอง ว่าคืออะไร ...จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ ... มันเป็นอย่างที่เคยเข้าใจมั้ย มันเป็นอย่างที่เคยเชื่อมั้ย มันเป็นอย่างที่ทุกคนเชื่อมั้ย

เนี่ย คือท่านจะค่อยๆ เข้าใจภายในขึ้นมาเอง ...จากที่ไม่เข้าใจ มันก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น เหมือนกับพระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าตอนรุ่งอรุณ ...ความสว่างมันจะปรากฏขึ้นมาที่ละเล็กทีละน้อยอย่างนั้น

ไม่ใช่ไปมะงุมมะงาหราหารู้หาเห็นอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ หาทำอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมาใหม่ ...ซึ่งไม่รู้ว่าดีจริงรึเปล่า ไม่รู้ว่าใช่จริงรึเปล่า ไม่รู้ว่ามันจะมีอย่างนั้นจริงรึเปล่า และก็ไม่รู้ว่าจะทำได้จริงรึเปล่า 

มันหมดเวลา มันเสียเวลาไปกับตรงนั้นน่ะ ...ทั้งๆ ที่ว่ากายนี่ รู้นี่ มันมีอยู่ในปัจจุบันนี้อยู่แล้ว มันไม่ต้องไปค้นไปหา ไปสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ ...เพียงแต่ว่าเราต้องมาคอยดัดสันดานที่มันชอบไม่อยากอยู่ตรงนี้แค่นั้นเอง 

เนี่ย ฝึก ทรมาน ทรมานจิตที่มันอยากกระเสือกกระสนดิ้นรนออกไป ทั้งที่ตั้งใจและเจตนา ทั้งที่ไม่ตั้งใจและไม่เจตนาคือเผลอเพลิน หลงลืม ...มันเป็นได้สองแง่นะ จิตน่ะ 

พอไม่มีเจตนาจะไปจะมา มันก็หลับใหลหลงลืมหายไป เผลอเพลิน ...พอความเผลอเพลินหายก็มีความเจตนามุ่งออกไปข้างหน้าข้างหลัง สร้างสภาวะ...หาอะไรที่มันว่ามีความสลักสำคัญกว่านี้ต่อไป ไม่จบไม่สิ้น

ท่านจะถูกจิตนี่ลากไปหัวฟัดหัวเหวี่ยง ลากกระโตงกระเตง กระเด็นกระดอน เหมือนกับช้างลากซุงแล้วซุงมันกระเด็นกระดอนตามพื้นน่ะ อย่างนั้นน่ะ 

ท่านจะถูกจิตลากไปอย่างนั้น...เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นภพ เป็นชาติ เป็นหลายภพ เป็นหลายชาติ ...เป็นไม่มีคำว่าสิ้นสุดเลย  

น่ากลัวนะ น่ากลัวยิ่งกว่าอดทนรู้อยู่แค่นี้ ... ผลที่ได้มันต่างกันแบบคนละเรื่อง หนังคนละม้วน

ความปรารถนาในที่ใดที่หนึ่ง ความปรารถนาจะไปสู่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง...ทิ้งซะ ...ทิ้งไม่ได้ก็วางซะบ้าง ผ่อนคลายลง อย่าไปปรารถนาอะไรที่มันเกินนี้ไป เกินกายที่กำลังตั้งอยู่ตรงนี้ไป 

ทิ้งความปรารถนา ความปรารภ ความตรึกไปในสุขนั้นๆ ...มรรคท่านก็จะเริ่มงอกงามขึ้นมา พร้อมกับศีลสมาธิปัญญาก็งอกงามขึ้นมาในตัวท่านเอง

เอ้า เท่านี้แหละ เบาะๆ ...นี่สอนวิธีเข้าสมาบัติน่ะ อยากรู้ใช่มั้ย ไป...ไปตรึกไปตรอง ไปทบไปทวนดูเอาเอง


................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น