วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 13/12 (1)



พระอาจารย์
13/12 (570221D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
21 กุมภาพันธ์ 2557
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ : แทร็กนี้แบ่งโพสต์ 2 ช่วงบทความค่ะ)

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นเรื่องกายเรื่องเดียวนี่ เอาให้มันทะลุ เอาให้มันแตก

ในลักษณะของเราตอนนี้ มันกระโดดไปกระโดดมา หมายความว่า ปัญญานี่ มันก็ไปรับรู้โดยทั่ว  เห็นในส่วนนี้ เห็นในลักษณะนี้บ้าง แต่ว่ามันยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน 

คือมันยังไม่สามารถที่จะทรงสภาวะ...ที่มันเข้าไปรู้เห็นแบบแจ้งในสภาวะนั้นได้ด้วยความชัดเจนต่อเนื่องแค่นั้นเอง  เดี๋ยวก็มีรูปบ้าง เดี๋ยวก็เป็นเราบ้าง เดี๋ยวก็มีเรานั่งบ้าง หรือบางทีก็ไม่มีเรานั่งบ้าง 

เดี๋ยวก็เป็นลักษณะที่เป็นขอบรูปบางๆ บ้าง แล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นตัวเราของเราอย่างไร ...แต่มันยังมีกรอบ แล้วก็มีความรู้สึกในกรอบนั้นอยู่ ...ยังไม่ถึงลักษณะกายที่ไม่มีกรอบ

ถ้าลักษณะกายที่ไม่มีกรอบ ...คือประเภทเดินไปไหนมาไหนนี่ เหมือนเดินกลางอากาศ เหมือนเป็นความรู้สึกที่กระทบแล้วก็ว่างหมดเลย 

เหมือนเดินอยู่ในอากาศเลย ...ไม่มีการเดินไปไหน ไม่มีการเดินไปที่ไหน ...ไม่มีกายที่กำลังเดิน มีแต่ความรู้สึกแล้วก็ดับ แล้วก็ดับๆ อยู่อย่างนั้น


โยม –  เป็นขณะเลยใช่ไหม

พระอาจารย์ –  เออ เป็นขณะอย่างนั้นเลย ...ทั้งๆ ที่ตาก็ยังเห็นอยู่นี่ ไม่ได้หลับตาเดินด้วยนะ ตาก็ยังเห็น หูก็ยังได้ยิน


โยม –  เปิดรับหมด

พระอาจารย์ –  อายตนะเปิดรับหมดเลย แต่จะเห็นกายนี่ลอยๆ อยู่ท่ามกลาง ความว่างหมดเลย  นั่นน่ะ รูปแตก ...รูปแตกถึงขนาดนั้นเลย


โยม –  ก็ให้ทรงต่อไป

พระอาจารย์ –  มันจะทรงโดยอัตโนมัติเลยถ้าอยู่อย่างนั้น 

เพราะนั้นถ้าอยู่ถึงตรงนั้นน่ะ ใกล้พระอนาคามีนะ  ตรงนั้นน่ะ จุดนั้นน่ะ จะใกล้เป็นพระอนาคามีแล้ว ...เพราะนั้นการสัมผัสสัมพันธ์กับภายนอกนี่ ไม่เหลือแล้ว 

การพูด การคุย การข้องแวะเกาะเกี่ยว หน้าที่การงานภายนอกนี่ มันไม่มีแล้ว ...มันจะไม่มีจิตออกไปแตะเลย มันถือว่าเรื่องราวภายนอกทั้งหมด เป็น untouchable หมดเลย

หมายความว่ายังไง ...คือแตะปุ๊บทุกข์ปั๊บๆๆ ...มันจะรู้สึกในตัวของมันอย่างนั้นเลย มีกายขึ้นเมื่อไหร่ทุกข์ มีกายขึ้นมาเมื่อไหร่ทุกข์เลย มันจะเป็นอย่างนั้น มันไม่เอาเลย ...มันจะไม่เอาเลย 

มันถอย ถอน ทิ้งหมดเลย ...เพราะนั้น ถึงตอนนั้นน่ะ มีผัวก็ต้องทิ้งผัวน่ะ มีลูกก็ต้องทิ้งลูก มีแม่ก็ต้องทิ้งแม่เลยแหละ จิตมันจะไม่เอาอะไรเลย


โยม –  มันเด็ดเดี่ยวมาก

พระอาจารย์ –  เออ มันไม่เอาอะไรเลย นั่นแหละ เพราะอะไร ...เพราะมันกลัวกายนี่จะเกิดขึ้นมาอีก จิตมันจะออกไปสร้างกายขึ้นมา ...มันไม่สามารถให้จิตนี่สร้างกายออกมาเป็นรูปได้เลย 

เหลือแต่กายตามความเป็นจริง...ที่เป็นความรู้สึกล้วนๆ เป็นกายล้วนๆ กายธาตุล้วนๆ และเป็นการประชุมของธาตุ ตรงนั้นๆๆๆ ตามแต่ว่าเหตุปัจจัย


โยม –  ยิบยับไปหมด

พระอาจารย์ –  เออ กายนี่ยิบยับไปหมดเลยนะ นั่นแหละ กายแตกเป็นเสี่ยงๆ เนี่ย เรียกว่ากายแตกเป็นเสี่ยงๆ ...ไม่ใช่ว่าแตกเป็นเสี่ยงๆ หมายความว่าแขนขาขาดกระเด็นออกอย่างนั้น 

ถ้าเห็นลักษณะอย่างนั้นน่ะ เรียกว่ามันเห็นในนิมิตของสมถะ ถ้าทำสมถะไปเรื่อยๆ แล้วกายนี่จะสลายออกเลย ระเบิดออก แล้วก็เห็นเป็นเลือดเนื้อแตกกระจัดกระจายออก จนสลายหมดเลย นั่นยังเรียกว่าเป็นกายนิมิตอยู่นะ


โยม –  อันนั้นคือเป็นจินตาใช่มั้ยคะ

พระอาจารย์ –  เป็นจินตาที่เกิดจากอำนาจของสมถะ 

แต่ว่าความหมายที่เราว่า “กายแตก” คืออย่างที่เราอธิบาย กายแตกด้วยปัญญาจริงๆ


โยม –  มันจะต้อง...มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

พระอาจารย์ –  ใช่ มันเหลือแต่ความรู้สึกที่เป็นกายล้วนๆ ที่ไม่มีชื่อ ไม่มีภาษา ...จะไม่มีจิตมาอ้าง...อ้างรูป อ้างนามมากำกับเลย  

จิตจะเป็นจิตผู้รู้...ผู้รู้แบบบริสุทธิ์ล้วนๆ เลย แค่รู้สักแต่ว่ารู้จริงๆ แล้วกายก็สักแต่ว่ากายที่ปรากฏจริงๆ ไม่มีบัญญัติรองรับ ไม่ความจำได้หมายรู้รองรับ ไม่มีความเห็นรองรับ ไม่มีอดีตอนาคตรองรับ 

ไม่มีภาษารองรับ ไม่มีตำรารองรับ ...มันเป็นตัวของมันล้วนๆ เพียวๆ เลย  เป็นกายบริสุทธิ์ นั่นน่ะ ...แล้วมันก็เกิดตรงนั้นเกิดตรงนี้ๆๆ ตุ้บๆ ตั้บๆ ไม่สามารถตั้งขึ้นเป็นรูปเป็นนามได้ รูปนามตั้งไม่ได้

เพราะนั้น กายตัวนั้นเป็นกายที่เรียกว่าถอนจากรูปและนาม  มันถูกถอนออกจากรูปและนาม จนเหลือแต่เป็นก้อนธาตุ ก้อนเวทนา จนเหลือเป็นแค่ก้อนทุกข์ ก้อนแปรปรวน ก้อนอนัตตา 

มันไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร  มันเป็นก้อนทุกข์ มันเป็นก้อนธรรม ...นี่ ถ้าพูดโดยภาษามันจะเป็นก้อนอย่างนั้น 

จะไปเรียกว่าก้อนเรา ก้อนชาย ก้อนหญิงไม่ได้  จะไปว่าก้อนนี้สวยก้อนนี้งามไม่ได้ เป็นได้อย่างมากก็ก้อนทุกข์กับก้อนเวทนา จริงๆ

แล้วก็...สุดท้ายก้อนทุกข์ก็ไม่ใช่ ก้อนเวทนาก็ไม่ใช่ ...ก็จะเรียกว่าก้อนธรรม มันเหมือนเป็นก้อนกองธรรมหนึ่ง 

ดูไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ก้อนธรรมกองธรรมอีก ...ไม่มีความหมายแล้ว มันลบบัญญัติหมด...จากกาย ไม่มีอะไรแล้ว 

ตอนนั้นน่ะถ้าจะเป็น ก็เรียกว่าเป็นก้อนที่ไม่มีตัวตน หรือว่าก้อนอนัตตา ... กายเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน

พอมันหมดสิ้นความเป็นตัวตนในกายปั๊บนี่  จิตที่เป็นเรา ที่จะไปจับ ไปเกิดกับก้อนกาย...ว่าเป็นเราในส่วนใดส่วนหนึ่ง อาการใดอาการหนึ่ง ลักษณะไหนก็ตาม...ไม่มี

สักกายทิฏฐิในกาย ความหมายมั่นในกาย...จบ หมดที่ตรงนั้นเลย หมดความหมายมั่นในกาย หมดความยึดมั่นถือมั่นในกาย ...เป็นสมุจเฉท ตรงนั้นถึงจะเป็นสมุจเฉท 

นี่หมายความถึงกายรวมรูปด้วยนะ ไม่ใช่กายความรู้สึกอย่างเดียว  รวมทั้งรูปด้วย รวมทั้งรูปกาย ...มันจะหมดไปพร้อมกันเลย

เห็นมั้ยว่าเรื่องกายเรื่องศีลนี่ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ไม่ใช่เป็นธรรมที่ล่วงเกิน หรือประมาทได้ 

มีปัญหาอะไร เกิดเรื่องอะไร รู้ตัวลูกเดียว แก้ได้หมด ...นี่เรียกว่ามายืนอยู่บนหลัก ไม่ได้ยืนอยู่ด้วยอุบาย หรือวิธี หรือมัวแต่ไปหาวิธี 

กลับมาลงหลักเลย...หลักเดียวหลักกายใจ หลักรู้อยู่กับกาย ...แล้วจะเข้าใจด้วยตัวของมันเองว่า หลักนี้หลักเดียว เอาตัวรอดได้ จากทุกสิ่งที่กิเลสมันชักนำ หรือว่าโยงใย หรือว่าชี้ช่อง ...แก้ได้หมดเลย 

นี่ กิเลสเอาชนะไม่ได้  ... ถึงแม้กิเลสชนะได้หมดสามโลกธาตุ ตีได้หมด...แต่ตีศีลสมาธิปัญญาไม่แตก ...ไม่มีอะไรเหนือศีลสมาธิปัญญาเลย 

ต่อให้กิเลสมันยิ่งใหญ่ขนาดไหนนะ มันทำลายไม่ได้คือศีลสมาธิปัญญา ...ถ้าถึงจุดนั้นแล้วนี่ มันจะมีความอาจหาญขึ้น ...ไม่กลัวกิเลส 

ตอนนี้เรายังกลัวกิเลสอยู่ ...กลัวว่าจะเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมา กลัวว่าจะไปเจออารมณ์นี้ขึ้นมา เห็นมั้ย กลัวนะ ...ยังกลัวอยู่ 

ไม่รู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้าที่จะทำให้เกิดอารมณ์นี้อารมณ์นั้น แล้วไม่รู้จะทนไหวมั้ย ...นี่ กลัวนะ มันยังมีเรา...แล้วยังกลัวกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่งที่ยังไม่เกิด

แต่ถ้ามันมั่นคงในศีลสมาธิปัญญา มันไม่กลัวอะไรเลย ...จะเกิดยังไงก็ได้ ต่อให้โลกนี้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตามันก็ไม่กลัว ต่อให้ขันธ์นี่แตกดับต่อหน้าต่อตาก็ไม่กังวล


โยม –  มันมีสายใยบางๆ มันจะมีความผูกพัน

พระอาจารย์ –  กังวล จะมีความกังวล มีความโยงใยกัน ... นี่ มันก็ค่อยๆ ลีบเล็กลง เรียวลงๆ

คือให้ทบทวนดู...ตั้งแต่ก่อนปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติแล้ว แล้วฟังเรา เอาแบบเราไปปฏิบัติแล้ว ...ให้เห็นว่าพัฒนาการมันเป็นยังไง ...พัฒนาการการละกิเลสนะ ไม่ใช่พัฒนาการที่ว่าจิตดีกว่าเก่านะ 

ไอ้จิตดีกว่าเก่า ... ก็ไม่ดีอ่ะ เหมือนเดิมน่ะ เข้าใจมั้ย  ยังคิดก็ยังคิดเหมือนเดิม เห็นก็ยังป่วนเหมือนเดิม ยังเหมือนเดิม ...แต่ว่าพัฒนาการในการที่ละจากมัน ให้ดูพัฒนาการตรงนี้ 

การถอยถอนจากมัน กับการเข้าไปจมแช่อยู่กับมัน ...ให้ดูพัฒนาการว่า มันค่อยๆ ไม่เอาธุระมากขึ้น  หรือว่าถึงจมถึงแช่ ...ก็ไม่นาน ก็ไม่ไปเกลือกกลั้วนาน 

แล้วให้สังเกตว่า การยึดมั่นจนเป็นทุกข์น่ะ มันไม่ค่อยเข้มข้นขึ้น มันมีแต่เข้มข้นน้อยลง ...ให้สังเกตพัฒนาการตัวนี้

ไม่ใช่พัฒนาการแบบ “กูไม่เคยโกรธใครเลย” ...ไอ้นั่นน่ะฝันหวาน มั่ว แล้วก็ไปตั้งขึ้นมาเอง ไปทำขึ้นมาเอง ...เหมือนไปหล่อจิตขึ้นใหม่น่ะ เข้าใจมั้ย


โยม –   สร้างมาใหม่

พระอาจารย์ –  เออ ไปหล่อจิตขึ้นมา แล้วก็... “กูจะเอาโมเดลนี้”  แล้วว่าโมเดลนี้กูสามารถรักษาได้ นี่ เก่งแล้วๆ นี่ ...ไม่ใช่ 

ไม่ได้มารักษาจิต ไม่ได้ทำให้จิตดีขึ้นเลย ...แต่ทำให้การติดข้องในขันธ์และเรื่องราวของกิเลสที่มันกำลังปรากฏนี่น้อยลง จนไม่มีการข้องแวะกับกิเลส

ท่านถึงบอกว่าอาคันตุกะกิเลส ...รู้จักแขกมั้ย มันไม่ใช่คนในบ้าน  คนในบ้านคือขันธ์ห้า...อันนี้ไม่ใช่แขก เป็นผู้อยู่ประจำหรือเจ้าของบ้านที่แท้จริง 

กิเลสมันเป็นแขก ...แต่เป็นแขกที่บ้านนี้มีประตูหน้าต่างที่ไม่ได้ปิด เพราะนั้นแขกมันจะเข้าเมื่อไหร่ก็ได้ ...แต่ว่ามันอยู่ไม่นาน เพราะมันเป็นแขก มันก็จะไป เพราะไม่ใช่บ้านของมัน ...นั่นอาคันตุกะกิเลส

เพราะนั้นไม่ใช่ไปทำหน้าที่สร้างประตูแล้วมา seal ไม่ให้แขกเข้า ...แล้วก็เมื่อใดที่แขกมันทะลายประตูเข้ามาได้ ก็บอกว่า “กูภาวนาไม่ดีเลย มีกิเลสเกิด” ...ไม่ใช่ เข้าใจมั้ย มันคนละเรื่องกันนะ

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กิเลสคืออาคันตุกะ มาแล้วไป ไปแล้วก็มา ...นั่นแหละ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจกับแขก แล้วก็ไม่ต้องไปเลี้ยงดูปูเสื่อแขก เดี๋ยวมันอยู่นาน เข้าใจมั้ย 

ไม่ใช่ว่าไปต้อนรับขับสู้ “เออ กินน้ำรึยัง มากินหน่อยมั้ย ยังไม่กินข้าวเหรอ เดี๋ยวไปทำอาหารมาให้นะ” ทีนี้แขกมันก็เหมือนเจ้าของเลยนะ กูไม่ไปอ่ะ กูจะอยู่แล้ว มึงเลี้ยงกูดีเหลือเกิน 

นี่ มันไม่เป็นแขกแล้ว มันจะมาครอบครองว่าบ้านนี้ของกูนะ ...แล้วพวกเรานี่ก็รับแขกกันเหลือเกิน เลี้ยงแขกกันเหลือเกิน ...จนกว่าจะเอะใจได้ว่า...เอ๊อะ มันเป็นแขก กูเป็นเจ้าของบ้าน

ทีนี้ พอรู้สึกอย่างนี้ แรกๆ ก็ ไปหาไม้มาจะไล่ตีแขก ...แล้วแขกมันก็สู้นะ สวนนะ เดี๋ยวแขกสวนให้ดูนะ แขกเริ่มไม่เกรงใจเจ้าของบ้านแล้วนะ นี่สู้นะ

อย่าตี อย่าไล่ ...แต่อย่าให้อาหารการกิน หมดแล้วก็หมด เคยเลี้ยงมันหมดสำรับแล้ว มันร้องขอ...กูไม่ให้ กูไม่ทำ กูนั่งเป็นประธานอยู่อย่างนี้ ...ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน มีอะไรมั้ย ไม่เป็นเบ๊มึง 

เบ๊คือจิต พวกลูกกะเป๊ก ไอ้ห้อยไอ้โหน ...รู้จักไอ้ห้อยไอ้โหนมั้ย แขกเรียกร้องอะไร "ครับ ขอรับ ทำเลยครับ อยากได้อะไรเดี๋ยวจัดให้" ...ไอ้ห้อยไอ้โหนคอยเสนอหน้า

ทำตัวให้เป็นประธานหน่อย เนี่ย ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน แล้วไม่ทำงานอะไร ...ก็ดูมันไป มันก็ร้องระงม เอานู่นเอานี่ แต่ละตัวสวยๆ หล่อๆ ทั้งนั้น ...ไอ้นั่นก็พ่อก็แม่ ไอ้โน่นก็เพื่อน เรียกร้องทั้งนั้นน่ะ

ใจเป็นใหญ่ใจเป็นประธาน...ไม่สน  แต่ไอ้ห้อยไอ้โหนก็กระดิ๊กกระดี๊ คอยทำงานแบบรู้ใจเจ้านาย ทำให้แทนหมดเลย ...ใจเป็นประธานนั่งดู 

ศีลสมาธิปัญญาก็คอยกำราบ “มึงอย่าไปไหนนะ ห้อย โหน อยู่นี่นะ” นี่ ศีลสมาธิปัญญาทำงาน ...ใจเขาก็อยู่เฉยๆ 

จนสำรับหมด แขกมันก็..."กูไปหากินที่อื่นดีกว่า ดูท่ามันไม่ต้อนรับแขกแล้วนี่หว่า" ...เขาก็ไปของเขา 

นี่ไม่ใช่เอาไม้ไล่ตี หรือแม้แต่เอาอะไรมาปิดประตูหน้าต่าง...เพราะกลัวแขกจะมา เพราะรู้เลยได้ยินเสียงมาก่อน "ไอ้แขกชุดนี้ ท่าจะลำบากแล้วกู" ... ปิดประตูเลย 

นี่ ไปหารูอยู่แล้วกัน  จะได้ไม่เจออะไรเลย ใช่มั้ย ...เนี่ย มันก็ทำไม่ได้


(ต่อแทร็ก 13/12 ช่วง 2)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น