วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 13/42


พระอาจารย์
13/42 (570406F)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  (พูดถึงโยมคนหนึ่ง) ...นี่มันมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งคือจริงจัง ทุกคนมันจะไม่เหมือนกับมันหรอก อย่าไปคิดว่ามันจะทำให้ทุกคนเหมือนมันได้

โยม –  อยากตั้งตัวเป็นอาจารย์

พระอาจารย์ –  นั่น ไอ้เจตนาแหละดี ...แต่มะม่วงหึ่ม หรือดิบ หรือยังเป็นแค่เพิ่งติดขั้ว ...เรารู้รึยัง เราแน่ใจรึยังว่ามันจะสุก เพราะเรายังไม่รู้ ยังไม่แน่เลยว่าจะเป็นมะม่วง หรือลิ้นจี่...ที่เพิ่งลูกเท่าหัวไม้ขีด

แต่การเร่งรัดให้มันสุกงอมขึ้นมานี่ มันผิดวิสัยนะ มันยังไม่ถึงเวลานะ ...ซึ่งว่าตัวนี้ มันก็เป็นตัวที่จะสุกงอมได้เหมือนกัน เข้าใจมั้ย แต่ว่ามันยังไม่ใช่วาระ..ยังไม่ใช่วาระ

ถ้าไม่เข้าใจระบบหรือขั้นตอนที่แท้จริงของศีลสมาธิปัญญาแล้วนี่ ไปบังคับหรือไปกฎเกณฑ์หรือไปกะว่า มันต้องสุกวันนี้ วันนั้น เมื่อนั้นเมื่อนี้ ทั้งที่มันลูกเท่าหัวไม้ขีดนี่ ...มันเป็นไปไม่ได้

เนี่ย ที่เราบอกว่ามันต้องใช้เวลา มันต้องมีเวลาให้ศีลสมาธิปัญญาด้วย เป็นอินทรีย์ เป็นพละ เป็นตัวบ่มเพาะไปทีละเล็กทีละน้อย เพื่อความเติบใหญ่ เพื่อความตามเวลาอันควร

ทีนี้ เออถ้ามันเป็นลักษณะที่...คือประเภทหัวแดงก้นแดงแล้วนี่ บ่มได้ พอบ่มได้ เข้าใจมั้ย ตรงนี้เข้าบ่มได้ ใช้วิธีการบ่มหรือเด็ดมารอสุก ใช่มั้ย ไม่ปล่อยให้เน่า ยังไงก็ไม่ดิบ สุกแน่ๆ ได้กินแน่ เนี่ย คือเวลาอันควร 

ซึ่งเราบอกให้ว่า คนภายนอกนี่ไม่สามารถรู้ได้ ...แม้แต่ตัวเจ้าของเอง ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้...ในระดับที่ยังเท่าหัวไม้ขีดนี่ มันจะไม่รู้เลย

แต่มันจะวาดฝันไปก่อนแล้ว นี่ ลักษณะนี้จึงต้องอาศัยครูบาอาจารย์ที่คอยกำราบ หรือคอยชะลอ เพื่อความสุกงอมต่อไปในภายภาคหน้า ไม่เสียของ ...เห็นมั้ย ไม่เสียของนะ

ถ้าเสียของเมื่อไหร่ก็ บีบปุ๊บก็เละ แตกโป้ง เอ้า หมดไปหนึ่งชาติแล้ว ต้องรอให้มันมาติดดอกอีก มีน้ำมีฝน ไม่มีลมพายุพัด อุณหภูมิพอสมพอเหมาะ ติดดอก ติดผลเท่าหัวไม้ขีดใหม่

นั่นคือบ่มเพาะนะ บ่มเพาะ ศีลสมาธิปัญญาเป็นตัวบ่มเพาะ มันไม่ใช่ของที่ไปซื้อเอาในตลาดแล้วมานั่งกิน มันไม่ใช่ของเรา มันเป็นของคนอื่น มันเป็นของที่เขาหลอกขาย ย้อมแมวขาย...ไม่ใช่

การเพาะปลูก มันเป็นผลไม้ในสวน คือกายใจ ขันธ์ห้าของตัวเอง เป็นที่ปลูกมะม่วงเงาะลำไยเอาไว้กิน แล้วก็เมื่อกินแล้ว มีเม็ดดีแล้ว แพร่พันธุ์ได้ ขจรขจายไป

ถ้าลำใยขอให้เป็นอีดอแล้วกัน จีนยังซื้อเลย แต่แห้วไม่ค่อยเอา ...เห็นมั้ย พันธุ์ดีเมื่อไหร่ก็ขายได้ราคา ใคร ตลาดก็ต้องการ ถ้าพันธุ์ไม่ดี ก็กินเองแล้วกัน


โยม –  ถ้าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ

พระอาจารย์ – (หัวเราะ)


โยม (อีกคน) พระอาจารย์คะ ทำไมบางคนมีบุญได้เจอครูบาอาจารย์ แต่ฟังไม่รู้เรื่อง เอาไปทำผิด

พระอาจารย์ –  มันไม่ใช่มีแต่บุญ บาปมันก็มี เข้าใจมั้ย คนเรามันมีทั้งบุญและบาป มันก็ลิดรอนกันไปมา บุญมีแต่บาปมาบัง หรือบุญมีแต่ปัญญาไม่มี ทุกอย่างไม่พร้อม มันไม่พอดี มันไม่พอเหมาะพอเจาะกัน

เพราะนั้น รู้ตัวให้ได้..ท่ามกลางสิ่งที่ไม่ปรารถนา นั่นแหละคืองานที่ต้องทำ ...ไม่อยากอะไร ทำในสิ่งนั้น ไม่อยากเรียน..เรียน ...แล้วอยาก..อันไหนที่มันเป็นตามความอยาก ก็ไม่ทำตามความอยากอันนั้น 

ไม่อยากเรียน อยากบวช อยากอยู่คนเดียว...อย่าอยาก ...เรียนรู้  แล้วจะรู้ว่า มันจะมี “เรา” ตัวหนึ่งที่ไม่พอใจ ...นั่นแหละโคตรเหง้าของกิเลส 

แต่ถ้าไปตามความอยาก ถ้าไปตามความไม่อยาก ตัว "เรา" ไม่มีปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน เข้าใจมั้ย ...เสียงาน เสียมรรค ละมันไม่ได้ 

ถ้าไม่เห็นตัวมันจะละอะไรล่ะ ละลมเหรอ ละอะไรลมๆ แล้งๆ หรือ ...ไอ้ที่มันละกันไม่ได้ ละกันไม่ถึง ละกันไม่ได้ ละกันไม่ขาด ละกันไม่เป็น เพราะมันไม่เห็น “ตัวเรา” 

แล้วยังไงมันถึงจะเห็น “ตัวเรา” ได้ชัด ...เมื่อมันประสบสิ่งที่มันอยากแล้วมันไม่ได้ดังอยาก เมื่อมันประสบสิ่งที่มันไม่อยาก แล้วมันไม่สามารถทำตามไม่อยาก 

มันจะชูคออย่างนี้...“ตัวเรา” ...ไม่อยากเห็นก็ต้องเห็นล่ะวะ ไอ้ที่มันเคยหลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็เป็นผู้ชี้นิ้วบงการโดยที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ นี่มาให้เห็นแบบชัดๆ เลย

เพราะนั้นการทวนกระแสนั่นแหละ ทำให้ “เรา” นี่เป็นทุกข์ปรากฏอยู่ภายใน ...มรรคจึงเป็นตัวที่เข้าไปถึงเหตุ เข้าใจมั้ย มันจึงเห็นเหตุหรือสมุทัย ซึ่งมันชูคออยู่

ซึ่งธรรมดาตอนนี้จะไม่เห็นเลยว่ามีเราอย่างชัดเจนตรงไหน ...แต่ความเป็นเรานี่มันจะปรากฏชัดต่อเมื่อมันมีอารมณ์สุขทุกข์...ซึ่งส่วนมากจะเป็นทุกข์ สุขไม่ค่อยเจออ่ะ

สุขมันก็นอนเหมือนนารายณ์บรรทมสินธุ์ ดูเขาเล่นประโคมรำมหรสพ มโหรีไป แต่ถ้าเป็นอะไรที่มันไม่พอใจ เกิดความไม่ประสบดังที่ปรารถนาปึ้บนี่ ตัวมันจะดีดผึงขึ้นมา แสดงความก้าวร้าวดุดันชัดเจน 

นั่นแหละทุกข์เท่านั้นที่จะสอน ให้เห็นว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์...แล้วแก้ตรงจุดนั้น ...ไม่ใช่แก้ที่ภายนอก ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงสภาวะภายนอก 

แก้ที่ “เรา” แก้ที่นี้ แก้ที่ภายในขันธ์ แก้ที่ภายในเรา แก้ตรงที่ตัว “เรา” นั้นปรากฏ ...ถ้าตีก็ตีถูกหัว ไม่ถูกหาง ตีถูกหัวแล้วยังไม่ตายก็ตีมันซ้ำ ไม่ตาย..ซ้ำอีกๆ 

เอาจนมันตาย...ตายแล้วตายอีกๆ ตายแบบเขาเรียกว่า ตายแบบสิ้นซาก ...แต่ตายอย่างพวกเรานี่ ตายแล้วยังมีซาก ...ต้องตายแบบสิ้นแม้กระทั่งซาก นี่เขาเรียกว่าตายไม่เหลือ ไม่มีซากไว้ให้เห็นเลย 

ถ้ามีซากแล้วยังไม่แน่ใจ...เดี๋ยวมันฟื้น เพราะกิเลสนี่เหมือนพวกแมวเก้าชีวิต มันไม่ตายให้ต่อหน้าต่อตาง่ายๆ หรอก ...พอศีลสมาธิปัญญาเข้าไปมาก ข่มมัน บังคับมัน เข้าไปละมัน มันก็แกล้งทำตาย

แกล้งนะๆ แต่มันก็ดูเหมือนตายจริงๆ ...เดี๋ยวมึงเผลอเมื่อไหร่นะ กูก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้น แอบฟื้น แอบฟื้นด้วยนะ ไม่โจ่งแจ้งนะ ฮื่อ ...เล่นกับกิเลส ไม่ใช่เล่นกันง่ายๆ นะ

ถึงบอกว่าอวิชชานี่ เป็นเจ้าใหญ่นายโต...สามโลกธาตุ อิทธิพลมันนี่ มากมายมหาศาลจริงๆ ...นิดนึงก็เอา หน่อยนึงมันก็เอา ความเป็น “เรา” นี่ ได้ทั้งนั้น ไม่เลือก

ความเป็น “เรา” นี่ไม่เลือกกาลเวลาสถานที่และบุคคลนะ ...แต่พวกเราน่ะ ศีลสมาธิปัญญากลับเลือกสถานที่และเวลานะ แต่ความเป็นเรา ความมีกิเลส ความมีอารมณ์ มันไม่เลือกกาลเวลาสถานที่เลย

แล้วเมื่อไหร่มันจะเท่าทันกัน เมื่อไหร่จึงจะชนะมัน ...ต้องรอเวลาให้ถึงอย่างนั้นก่อน ต้องรอให้อยู่ในสภาพอย่างนี้ก่อน...เมื่อไหร่มันจะทันล่ะ ...มันไม่มีเวลานะ ความเป็นเราสามารถเกิดได้ตลอดเวลาโดยไม่เลือกเลย

เพราะฉะนั้น ตัวที่จะชนะในระดับหนึ่งก็คือมหาสติ ...โดยไม่เลือก มีสติโดยไม่เลือก มีสมาธิโดยไม่เลือก ท่านเรียกว่าเป็นรัตตัญญู เป็นผู้ที่ไม่มีกาล เป็นผู้ไม่มีวันหลับ

นี่มหาสติ ผู้ที่เข้าถึงมหาสติ แล้วก็ทรงมหาสติได้ ท่านเรียกว่าเป็นผู้ที่ไม่หลับ ไม่มีกลางคืน อุปมาอุปไมยเป็นผู้ที่ไม่มีกลางคืนในจิตนั้น...ใจดวงนั้น จะตื่นรู้ตื่นเห็นอยู่ตลอด

ทีนี้กิเลสมันจะมาช่องไหนล่ะ มันจะออกช่องไหนล่ะ มันจะไปปฏิภาค ปฏิสัมพันธ์ จะไปสัปปยุทธ์กับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสตรงไหนล่ะ ถ้ามันตื่นรู้ ตื่นโดยสภาวะที่ alert อยู่ตลอดอย่างนี้

กิเลสไม่ได้งอกงาม ไปไม่ไกล ไปก็...ปุ๊บ ตกแล้ว ...ถ้าเป็นลูกปืนก็เป็นลูกปืนที่ไม่มีแรงขับเคลื่อน คือไม่มีดินปืน ปุ๊บ ก็ตกอยู่ข้างหน้านั้น ไปทิ่มไปแทงไปฆ่าไปฟันใครไม่ได้

กิเลสมันก็เริ่มหมดกำลังๆๆ ศีลสมาธิปัญญาภายในก็มีกำลังมากขึ้น ...จนหมดกระสุน ก็เหลือแต่กระบอกปืนเปล่าๆ อย่างมากก็เอาไปขว้างหัวมัน แต่ทำอะไรใครไม่ตายหรอก

แน่ะ หมดแล้ว กิเลสมันหมดอำนาจ หมดพลัง มันหมดความผลักดันออกมาด้วยอำนาจของตัณหาและอุปาทาน มันก็ไม่ไปทำร้ายทำลายหรือเบียดเบียนใคร

พระอริยะท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียน อนูปวาโน อนูปภาโต เป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียน ... คำว่าผู้ไม่เบียดเบียนในความหมายของอริยะก็คือ ไม่เบียดเบียนกระทั่งตั้งแต่กายวาจาใจ

ไม่ใช่ไม่เบียดเบียนด้วยกายหรือว่าวาจาเท่านั้น แม้กระทั่งด้วยใจก็ไม่มีคำว่าเบียดเบียนผู้อื่น ...คำว่าผู้อื่นนี่หมายรวมวัตถุที่ไม่มีวิญญาณครองด้วย

เห็นมั้ยว่า ความบริสุทธิ์ของศีลนี่ เป็นผู้ที่ไม่เบียดเบียนคือไม่เบียดเบียนจริงๆ ...จิตนี่จะดำรงสภาพรู้เห็นอย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ไม่ได้ไปข้องแวะเกาะเกี่ยวเบียดเบียน แม้กระทั่งข้าวของวัตถุธาตุ บุคคล

แม้แต่ชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ชิ้นเล็ก อย่างละเอียด อย่างประณีต อย่างสุดละเอียด สุดประณีต ...ก็ไม่ออกไปด้วยความเบียดเบียนแต่ประการใด คงอยู่ในสภาพรู้สภาพเห็นด้วยความเต็มเปี่ยมบริบูรณ์

จึงเป็นผู้ทรงความบริบูรณ์ด้วยศีลสมาธิปัญญาอย่างยิ่งยวด...อริยะ การเข้าถึงความเป็นอริยะ การรักษา การเดินในมรรคอย่างยิ่งยวด จะเข้าไปสู่ความเต็มเปี่ยมของศีลสมาธิปัญญาโดยสมบูรณ์

กิเลสไม่มีที่ให้อยู่แล้ว ถูกกวาดล้างไปหมด ...แล้วกวาดล้างแบบสิ้นซากด้วย ไม่มีไปตกค้างอยู่ที่ไหนเป็นสัญญาที่จะรอวันผุดขึ้นมาใหม่เหมือนดอกเห็ด

เพราะนั้น ใจเย็นๆ ร่มๆ เย็นๆ ภาวนาไป ใช้ชีวิตไป เรียนรู้ไปทั้งทางโลก ทางธรรมก็เน้นหนักเข้าบ่อยๆ ...ก็ดีแล้ว จิตมันใฝ่มาทางนี้มาก ดีแล้ว แต่อย่าทิ้ง อย่าเพิ่งทิ้งโลก อย่าเพิ่งขาดจากโลก

ยังขาดไม่จริง แล้วมันจะหวน ยังมีโอกาสหวน ...อย่าไปคิดว่ามันจะไม่หวน อย่าไปไว้ใจกิเลส อย่าเพิ่งไปเชื่อว่า ศีลสมาธิปัญญาเราดีพอแล้ว ...ยัง ยังถือว่า ยังอ่อนอยู่

ค่อยๆ สะสมๆ ให้มันมั่นใจยิ่งกว่านี้ หลายปี ...นาดเราบวชนี่ ยังต้องหลายปี เรียกว่าภาวนาเป็นอาชีพหลัก ไม่ใช่งานรองแล้วนะ ยังต้องหลายปี กว่าที่มันจะยืดแข้งยืดขาทรงเนื้อทรงตัวได้

เรียกว่าไม่ป้อแป้ล้มลุกคลุกคลาน หรือกว่ากลิ้งเกลือกเถือกไถอยู่กับพื้นดิน ...นี่ กว่าจะยืนหยัดขึ้น ทรงตัวขึ้นยืนด้วยลำแข้งขึ้น ใช้เวลาเป็นหลายๆ ปี

แล้วจากนั้นก็เริ่มหัดเดิน  เมื่อเดินคล่อง จึงเริ่มวิ่ง  เมื่อวิ่งแล้วก็เรียกว่า สุดฝีตีนแล้ว  เห็นมั้ย มันมีไปตามขั้นตามลำดับ ...แต่ไอ้ลำดับที่จะยืนขึ้นนี่ เนี่ย ยากที่สุดๆ

เลือดตาแทบกระเด็น กว่าที่มันจะยืนอยู่ในมรรค ยืนอยู่ด้วยศีล ยืนอยู่ด้วยกำลังของสมาธิ ยืนอยู่ด้วยกำลังของปัญญา...ยาก มันจะต้องต่อสู้กับกิเลสทั้งหลาย

ภาษาสมัยนี้เขาเรียกว่า มวลมหาประชาชน มากมายเหลือเกิน ทั้งของตัวเอง แล้วก็ของคนอื่นด้วยนะ ไม่ใช่ของตัวเองถ่ายเดียวนะ ...ก็ต้องเรียกว่ากิเลสมวลมหาประชาชน

กว่าที่มันจะยืนแล้วก็ฝ่าฟันไปท่ามกลางมรสุมคลื่นลม ดงกิเลสทั้งนั้น จึงค่อยเดินได้เตาะแตะๆ ...ถ้ายืนไม่ได้ก็เดินไม่ได้  แล้วก็เดินได้แรกๆ ก็ไม่สามารถวิ่งได้ เพราะถ้าวิ่งน่ะล้มแน่

ก็ค่อยๆ เตาะแตะๆ ...ทุกอย่างมันจะเป็นแบบเรียบง่ายสมดุล ไม่ฮวบฮาบ กระโชกกระชาก เดี๋ยวเครื่องน็อค น็อคเมื่อไหร่ก็โอเวอร์โหลด ถ้าโอเวอร์โหลดแล้วก็เครื่องจะพัง

เดี๋ยวจะไปโดดตึก เดี๋ยวจะไป “ไม่เอาแล้ว ธรรมไม่มีจริง ศีลไม่มีจริง” ...วิปลาสเยอะ เยอะแยะ ขนาดเป็นพระ ที่เราเคยเล่าให้ฟังว่าเอามีดปาดคอ ก็ยังมี ...นี่ เข้มข้นเกินไป

เนี่ย อานิสงส์ของเรานี่ ที่พากเพียรนะ กระเพาะนี่ทะลุ ผ่ามา...อดข้าว ไม่รู้จะอดไปทำไม ...เนี่ย ผล ก็รับอานิสงส์ไป 

คือตอนนั้นก็นึกว่าเนี่ย สงเคราะห์ในธรรม สงเคราะห์ต่อมรรค สงเคราะห์ต่อศีลสมาธิปัญญา ...มันไม่สงเคราะห์โดยตรง มันโดยอ้อม แต่เข้าใจว่ามันเป็นหลักโดยตรงแค่นั้นเอง จึงรับอานิสงส์ไป เกือบตายน่ะ

แต่มาตายตอนนี้ก็ไม่มีปัญหา ก็คุ้มล่ะวะ ไม่กลัวตาย ไม่เสียดายความตาย ไม่เสียดายว่ามันจะตายตอนไหน ...ถ้ามันได้ถึงมรรคถึงใจ มันจะไม่เสียดายความตายเลย

ต่อให้ตายตรงนี้ ลุกขึ้นแล้วก็ตายเลย นี่ สามารถยอมรับกับความตายได้ด้วยความสมบูรณ์ แต่ถ้าพวกเรา ให้ตายตอนนี้...“อ๊ะ ยังไงๆ อยู่โว้ย”

ไอ้นั่นก็ยังค้าง ไอ้นี่ก็ยังไม่ถึง นิพพานก็ยังไม่แจ้ง ศีลอยู่ที่ไหนกูยังไม่แน่ใจเลย ...นี่ยังไม่ถึงพร้อม ความตายมาถึงซะก่อน ก็เลยตายแบบ...ตายตาไม่หลับ มันติดค้างข้องคาอยู่

แต่ให้เราตายตอนนี้ก็ตาย ตายดีตายร้าย ตายบนตายล่าง ตายบนฟ้า ตายในน้ำ ตายบนถนน ตายบนอากาศ ตายบนเตียง ก็ตายไปเถอะ ไม่ว่ากัน


โยม –  อย่าเพิ่งเจ้าค่ะ นิมนต์อยู่ก่อน

พระอาจารย์ –  ความตาย แต่ว่าทำยังไงถึงจะให้มันยอมรับกับความตายได้โดยที่ไม่ติดข้อง ทั้งทางโลกและในธรรม แค่นั้นเอง


โยม –  อย่างนั้นก็ให้แกเรียนรู้ไปก่อนนะคะ จนกว่าแกจะยอมรับ แล้วก็จนถึงความเป็นกลาง

พระอาจารย์ –  อือๆๆ คือเป็นเด็กนี่มันจะมองเวลาว่า โห นาน ช้า ...เท่าไหร่ สี่ปีห้าปีแค่นั้นเอง แป๊บเดียว โธ่เอ๊ย แล้วจะรู้ว่ามันไม่ได้หายไปไหนเลย เวลาสี่ห้าปีนี่

แต่ว่ามันจะได้อะไรเยอะเลย ในการที่ต้องไปทนกับสิ่งที่ทนได้ยาก พออายุสักสี่สิบห้าสิบ ใกล้จะหกสิบแบบเราแล้วจะเห็นว่า หูย วันๆ หนึ่งมันไวจัง ปีสองปีสามปี อีกแระ

นี่เพิ่งปีใหม่แหม็บๆ จะสงกรานต์อีกแล้ว แป๊บเดียวเอง ไวปานกามนิตหนุ่ม เขาว่าอย่างงั้นเพราะนั้นแค่สี่ห้าปีอย่าคิดว่ามัน โหยนาน ...แป๊บเดียว


โยม –  อย่างนั้นโยมก็ขอกราบลาพระอาจารย์

พระอาจารย์ –  อือ ไป ภาวนาไป ค่อยๆ เป็นไป แล้วมันจะมั่นคงกว่านี้


(ต่อแทร็ก 13/43)





วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2560

แทร็ก 13/41


พระอาจารย์
13/41 (570406E)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
6 เมษายน 2557


พระอาจารย์ –  ถนนลาดยางที่เห็นนี่ เรานี่มากินนอนกับถนนนี่สามเดือน หลวงปู่ให้มา เช้าขึ้นก็นั่งรถบด รถบดจอดที่ลานจอดรถนี่ ก็เกาะติดรถบดออกมา เย็นก็กลับมาพร้อมกับรถไถรถเกรด

อยู่อย่างนี้ ทำถนนอยู่อย่างนี้ ...ถ้ามองภาพ ภาวนาอะไร จะเอาเวลาที่ไหนไปภาวนา ขนาดที่เรียกว่า หลวงปู่บอกว่า ไม่ต้องมาฉัน เดี๋ยวจัดปิ่นโตไปให้ ไปกินเอาข้างทางนั่นแหละ (หัวเราะ)

เหล่านี้ มันไม่ได้ดูเป็นแพทเทิร์นหรือแบบฟอร์มของการภาวนาเลย มันกลับอยู่ด้วยการคละเคล้ากับทุกข์ ทั้งของตัวเองแล้วก็ของผู้อื่น ทุกข์ของกิเลสผู้อื่น มันจะต้องอยู่กับกิเลสคน

แล้วเราเป็นลักษณะที่ปฏิเสธต่อกิเลสของคนอยู่แล้ว...ซึ่งขัดใจๆๆ ขัดใจมากๆ ...ที่กูมาบวชนี่ กูไม่อยากเจอคนนั่นน่ะ ใช่ป่าว ไม่อยากเจอกิเลสของคน ไม่อยากเจอความเซ้าซี้ของคน

ไม่อยากเจอการมาเยิ่นเย้อไม่เลิก อะไรอย่างนี้ พูดไม่ฟัง ฟังไม่รู้เรื่อง แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง อะไรอย่างนี้ แล้วต้องไปรองรับอารมณ์กับไอ้พวกนี้ ...สุดท้ายก็หนีไม่พ้น

หลวงปู่ก็ส่งมาอยู่กับสภาวะที่ต้องรองรับอารมณ์ของสัตว์โลกน่ะ ในสิ่งที่ทนได้ยาก ...แล้วท่านไม่ให้หนีอ่ะ คือตั้งแต่บวชมาวัดนี่ วันแรกหลวงปู่ท่านเห็นหน้าก็บอก...อยู่นี่ ไม่ให้ไปไหน ถ้าดอยเชียงดาวไม่แตก ไม่ต้องไป

คือมานี่จับขังคุกเลย วันแรกมา...นี่วันแรกเลย ไม่เคยเจอหน้าท่านมาก่อน ...แล้วก็ทุกข์จริงๆ น่ะ ตลอดเวลานี่ทุกข์ตลอดเลย เรียนรู้อยู่กับทุกข์ตลอดเลย แต่ไม่หนี

แล้วเรากับหลวงปู่นี่ หมายความว่าเราเคารพท่านมาก เคารพในขนาดที่ว่า ท่านว่าไงว่างั้นน่ะ สั่งยังไงก็อย่างงั้นน่ะ เรียกว่าครับ ขอรับ ครับๆ  คือไม่มีคำว่า “ไม่ครับ” เลย...ครับอย่างเดียว

เนี่ย หน้าด้านหน้าทน ทั้งๆ ที่ว่าใจจริงๆ ลึกๆ นี่ ปฏิเสธหมดเลยกับการข้องแวะ  เพราะอะไร...เพราะเรามองว่ามันเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับการภาวนาอย่างยิ่ง ..นี่ตามประสาโง่ๆ

กว่าที่มันจะมาปรับจูนอยู่ในคลื่นเดียวกันกับธรรมชาติ ธรรมดาโลก กับธรรมดาขันธ์ กับธรรมดารู้ กับธรรมดาในความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง

มารวมอยู่ในคลื่นเดียวกัน ร่องเดียวกัน มรรคเดียวกัน เสมอกัน เท่ากัน ...มาเรียนรู้อย่างนี้ ไม่ใช่ไปเรียนรู้ในทางจงกรม ที่ภาวนาคนเดียว มันจึงจะมาจับคลื่นเดียวกันของทุกสิ่งทุกอย่าง

แล้วมันจะมีร่องอยู่ร่องหนึ่งตรงนั้น ซึ่งสามารถดำรงคงอยู่ท่ามกลางทุกสิ่งทุกสภาวะ ...นั่นแหละมรรคที่แท้จริง นั่นแหละมัชฌิมาปฏิปทา...ท่ามกลางดงกิเลสนั่นน่ะ

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนคาดไม่ได้ของโลก...มันจะต้องไปเจอมรรค รู้จักมรรค แล้วก็ทรงมรรคให้ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ เสียก่อน ...เรียกว่าปากทาง นี่แค่ปากทาง

ทีนี้พอมันเข้าใจถึงจุดนี้แล้วนี่ ทีนี้การภาวนาโดยส่วนตัว มันไม่ได้เป็นไปแบบโง่เขลาแล้ว ...เพราะนั้น ช่วงเวลาที่หลวงปู่ท่านไม่อยู่ ไปนิมนต์ บางทีก็ไปทีเป็นเดือน เราก็ฝากวัดไว้กับพระ

แล้วก็ไปอยู่ตามร่องหลืบถ้ำคนเดียว ไปทำความรู้ความเห็นภายในเงียบๆ  ใกล้เวลาหลวงปู่กลับเราก็ชิงกลับมาก่อน มารับหน้า ...เริ่มฉลาดแล้ว เริ่มฉลาดขึ้น

เหล่านี้ เรียนรู้เอาเอง หาเก็บเอาอย่างนี้ ความรู้ในธรรม ความรู้ในขันธ์ ความรู้ส่วนตัว ...แต่อยู่ในร่องเดียวกัน อยู่ในร่องของมัชฌิมา

เพราะนั้นถ้าไปอยู่คนเดียวก็ทำได้เต็มที่ภายใน มาอยู่ข้างนอกก็ดำรงคงไว้ในองค์มรรคด้วยความเป็นกลาง แต่ไม่แจ้งในขันธ์โดยสมบูรณ์ แค่นั้นเอง

ทุกอย่างก็ค่อยๆ เป็นไป หนุนเนื่องกันไป  มรรคก็หนุนเนื่องไป ศีลสมาธิปัญญาก็หนุนเนื่อง ไม่มีคำว่าขาดตกหล่นหาย มหาสติปัฏฐานก็พอกพูนขึ้นๆ ท่ามกลางการไม่เลือกอะไร อย่างไร

มหาสติปัฏฐานก็เกิดได้ ท่ามกลางกิเลส ท่ามกลางโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของโลก ของบุคคล ...มันเริ่มเป็นเส้นคู่ขนานที่ไม่ยอมบรรจบกัน

มรรคนี่เริ่มเป็นเส้นคู่ขนานกับโลก ...มันเริ่มดีดออก ไม่บรรจบกับโลก ไม่บรรจบกับขันธ์แล้ว มันลอยตัว...คล้ายๆ กับมันลอยตัว

ซึ่งตอนแรกมรรคน่ะมันอยู่ในเส้นทางของโลก เส้นทางของขันธ์  แล้วมันก็ค่อยๆ ดีดตัวของมันออก  ...ไม่แก้ไม่หนี แรกๆ ทนอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ทนไปทำไม

แต่คราวนี้ว่ามันมีกฎเกณฑ์ของเราอยู่ว่า เราเคารพครูบาอาจารย์ เราไม่หนีครูบาอาจารย์ แค่นั้นเอง ...ตัวนี้เป็นเหมือนขอบขันธสีมาที่กั้นไว้ไม่ให้มันไปสำนักใหม่ อาจารย์อื่น

นี่คือความผูกพันแต่เก่าก่อนในอดีต เคยเป็นครูอาจารย์ลูกศิษย์กันมานาน มันคุ้นเคยกัน มันเข้าขากัน ...มีอาจารย์องค์เดียว ไม่มีสอง  แล้วก็ภาวนาหน้าเดียว ไม่มีหลายวิธี

เพราะฟังแต่เทศน์หลวงปู่ ...ซึ่งแรกๆ ฟังแล้วก็งง เพราะฟังท่านเทศน์ไม่รู้เรื่อง คือท่านเทศน์รวม หลากหลาย วันนี้เทศน์เรื่องตาย พรุ่งนี้เทศน์เรื่องกระดูก มะรืนนี้เทศน์เรื่องพุทธกิจห้าประการ

มะเรื่องนี้เทศน์เรื่องพุทโธ ลมหายใจเข้าออก วันต่อไปเทศน์เรื่องสติปัฏฐาน ...แล้วกูจะภาวนาอะไร อีกวันก็พูดเรื่องดวงจิตผู้รู้ เห็นมั้ย งง ในอุบายธรรม

แล้วก็เข้าไม่ถึงหลักธรรม ฟังแบบทัพพีกับน้ำแกง ไม่ได้รับรสชาติอะไรหรอก ...แต่ก็ทู่ซี้ทำไป ถ้าว่าวันไหนพูดเรื่องความตาย กูก็ไปพิจารณาความตายล่ะวะ

วันไหนพูดเรื่องลมหายใจ ก็ไปพิจารณาลมหายใจเข้าออก พุทโธ  วันไหนพูดเรื่องอัฐิกัง กระดูกสามร้อยท่อน กูก็ไปนั่งเพ่งกระดูก ทำไปสะเปะสะปะน่ะ

แต่มันก็ไม่มีความมั่นใจแน่ใจวิธีการไหนเป็นวิธีการของเรา...ของเรานะ ไม่ใช่ของมรรคนะ ...ซึ่งตอนนั้นน่ะมันแยกแยะอะไรไม่ออกเลย

แล้วความห่างกันระหว่างครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์นี่สูง อายุก็ห่างมาก เราก็เด็ก ภูมิธรรมท่านก็ระดับอรหันต์นะ ...เพราะนั้นการไปพูดการไปถามแบบที่พวกโยมมาถามกับเรา หรือคุยกับเรานี่ ไม่มีหรอก

มันเป็นระดับคนละระดับ ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง ...แล้วหลวงปู่ท่านไม่ใช่คนช่างพูดช่างตอบ ไม่มีคำว่าสอนธรรมส่วนตัว ไม่มีคำว่าตอบให้กระจ่าง มีแต่พูดให้งงขึ้น อะไรอย่างนี้

เห็นมั้ยว่าการเรียนรู้ธรรมไม่ใช่ของง่ายนะ กว่าจะตั้งหลักตั้งฐาน กว่าจะจับหลักจับฐานได้น่ะ ถูลู่ถูกังนะ ...แต่มีอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ถอย ไม่ท้อ ไม่หยุดทำ ไม่หยุดภาวนา

ทุกอย่างเอาหมด ถ้าท่านเทศน์บทไหนบาทไหนก็เอาหมด เอาเป็นพักๆ หนึ่ง พอไม่ได้ ดูเหมือนไม่ได้ผลก็เปลี่ยน ...โดยไม่เข้าใจหรอกว่าท่านจะให้ทำอะไรกันแน่เป็นหลัก

(บอกกับโยม) เพราะนั้นน่ะ เรียนไปก่อน ...เสาร์อาทิตย์มีวันหยุด เข้าใจมั้ย ตรงนั้นน่ะใช้เวลาให้เต็มที่ ไปอยู่กับพ่อ ก็แข่งกันรู้ตัวเงียบๆ ...แล้วก็มาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย

มันจะต้องเรียนรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม ควบคู่กันไป ...แล้วมรรคจึงจะแข็งแกร่ง เป็นที่ไว้ใจได้จริงๆ เป็นที่ฝากผีฝากไข้ได้จริงๆ

ถ้ามรรคมันแข็งแกร่งแล้วนี่ หรือว่าทางเดินของศีลสมาธิปัญญามันชัดเจนจริงๆ แล้วนี่ ...มันไม่กลัวแล้ว มันไม่มีคำว่าเสื่อม มันไม่มีคำว่าถอย

มันไม่มีคำว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มันไม่มีคำว่าชักเข้าชักออก มันไม่มีคำว่าจะล้มเลิกแล้วจะเสียดายในการล้มเลิกหรือไม่ทำ ...ไม่มี ถ้ามรรคมันชัดเจนจริงๆ

แต่ในระดับอย่างนี้ มรรคเรายังไม่ชัดเจน สภาวะที่รู้สภาวะที่เห็นมันเป็นเพียงแค่แย็บๆ เข้ามาเท่านั้น อย่าเพิ่งตายใจ อย่าเพิ่งมั่นใจ ว่ามันจะดำรงคงอยู่จนเป็นถึงระดับมหาสติ มหาสมาธิ มหาปัญญา

เราถึงบอกว่า อินทรีย์ของที่เราบ่มมาทำมานี่ ไม่ใช่เล็กน้อย ...ไม่ต้องพูดถึงอดีตนะ พูดถึงชาติปัจจุบันนี่ระหว่างบำเพ็ญเป็นนักบวช ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก ทนในสิ่งที่ทนได้ยากได้มาก

ทนจนเรียกว่าเกินกว่าคนจะทนได้ คนทั่วไปน่ะ ในการที่จะต้องมาเจอกับอารมณ์ เจอกับเจ้าแม่แห่งถ้ำ ...ไม่ใช่อย่างที่เราคิดเลย แล้วไม่คิดว่ามันจะมีคนอย่างนี้ในโลกด้วย 

บอกให้เลย เป็นอะไรที่ทนได้ยากที่สุดจริงๆ สามารถทำให้ขาวเป็นดำ ผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด แล้วยังมีหลวงปู่รับรองอีกต่างหาก บอกให้เลย ทนหมดน่ะ

แล้วเราต้องไปอยู่ในสภาพที่จะต้องเป็นหนังหน้าไฟน่ะ ทางพระก็มาลงกับเรา ไอ้ทางโยมนี่ก็มาลงกับเรา ...คือเป็นตัว communication ระหว่างพระกับหลวงปู่ ระหว่างพระกับโยม

ไอ้ทางพระก็ต่อรองมาอย่างนี้ ให้ไปต่อรองกับโยมให้หน่อย  ไอ้ทางโยมก็ต่อรองมาอย่างนี้เพื่อให้พระมาทำงานให้หน่อย แล้วหลวงปู่ก็สั่งมาอย่างนี้

ซึ่งแต่ละสามองค์ประกอบนี่ มันคนละเจตนากันเลย...อย่างเงี้ย อยู่ในสภาพอย่างเนี้ย กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนี้ แล้วทุกคนก็...“ฝากไว้กับท่านนั่นแหละ” อะไรก็ฝากไว้กับท่านนั่นแหละ ช่วยด้วย

เวลาโยมจะเอาอะไร ไปบอกหลวงปู่ หลวงปู่ก็บอกว่า ไปถามกับเรา โยมก็บอกว่า จะทำได้เหรอ หลวงปู่ก็บอก มันทำได้ๆ ...แต่ได้แบบกล้ำกลืน แบกรับ เป็นหนังหน้าไฟ

แล้วก็เป็นทั้งมือทั้งเท้าให้ท่าน แทนท่าน อย่างเนี้ย จิตนี่มันไม่สามารถ ที่จะดำรงคงอยู่ ...เหล่านี้คือการอบรมอินทรีย์ทั้งหมดเลย ไม่มีผลการภาวนาใดๆ ปรากฏขึ้นมา ในระหว่างนั้น

แล้วต้องทนอยู่กับสภาพนี้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทุกข์ หนีเสือปะจระเข้จริงๆ ...นึกเลยนะ ตอนที่ลาออกจากงานแล้วบวชนี่ ฝันเลยนะ ตัดคอ...กูคงสำเร็จ นึกว่าจะรวดๆๆๆ

มันไม่รวดน่ะ มันมีแต่อะไรก็ไม่รู้  ยังนึกในใจ นิมิตกูหลอกอีกแล้วๆ ...นี่ หลายอย่างที่จะต้องเรียนรู้ ที่จะเป็นการอบรม ทุกข์นี่จะเป็นตัวบ่มอินทรีย์ ทุกข์อุปาทาน ทุกข์ของเรา

จนกว่ามันจะชัดเจนชัดแจ้งว่า ทุกข์ที่แท้จริงน่ะมันอยู่ที่ไหน เหตุของทุกข์ที่แท้จริงคืออะไร อะไรเป็นต้นเหตุของทุกข์ ...นั่นคือ “เรา”

ถ้ามันไม่ซ้ำๆๆๆ เป็นทุกข์ซ้ำซากจริงๆ นี่ ทั้งภาคบังคับ ทั้งภาคไม่เจตนานี่ ...มันไม่สามารถที่จะเข้าไปกล้าละกล้าเลิก กล้าเพิกกล้าถอนความเป็นเราได้เลย

จนมันเชื่อ จนมันมั่นใจ จนมันแน่ใจเลยว่า...เนี่ย ถ้ายังไม่เอาไอ้ตัวนี้ออกไป ยังไงเราจะต้องเป็นผู้ที่รับภาระอยู่ตลอดเวลา...ทั้งภายในและภายนอก

ภายในคือตัวขันธ์เอง ภายนอกคือเรื่องราวของคนในโลกและสัตว์บุคคลที่เกี่ยวข้อง ...มันจึงเข้าไปตัดสินใจละที่ภายในตรงนั้น จริงๆ จังๆ

นี่ ทุกข์ทั้งนั้นน่ะมันบีบคั้นจนเห็นว่าต้นตอต้นเหตุของทุกข์ที่แท้จริง ...ไม่ใช่การกระทำคำพูดของสัตว์บุคคล ไม่ใช่เรื่องราวที่มันมา ที่มันมี ที่มันต้องเจอ...ไม่ใช่

แรกๆ ก็ไม่เชื่อ โดยตัวของมันเองนี่ ...แต่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ทุกข์...แก้ยังไงก็ไม่หาย หนียังไงก็หนีไม่พ้น มันก็ตามไปถึงกุฏิ ตามไปถึงที่ฉัน ตามไปถึงถนน ตามไป

มันมายังไง มันอยู่ที่ไหน...ก็ใคร่ครวญ ด้วยสติสมาธิ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นสติสมาธิปัญญา ...แต่ทุกข์น่ะมันเป็นตัว catalyze  

นี่ อาจารย์ท่านสอนธรรมน่ะ ท่านสอนกันโดยไม่มี pattern ของการนั่งสมาธิเดินจงกรม ...แต่ท่านให้ทุกข์มาเป็นการบ้าน 

และเป็นการบ้านที่ไม่ต้องส่งท่านนะ...ท่านไม่รับส่ง ท่านไม่รับพิจารณา ...ให้มึงทำให้ได้ โดยที่ไม่บอกว่านี่คือการบ้าน

นี่ ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านสอนกันจริงๆ สอนธรรมจริงๆ สอนทั้งธรรม และก็สอนทั้งให้กระทำ doing ...โดยที่ไม่ได้บอกว่านี่คือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริง

มันไม่ง่าย มันไม่ใช่อย่างที่พวกเรานึกฝันว่า จะต้องเป็นอย่างนี้...ถ้าได้อย่างนี้  ถ้าปรับสภาพแวดล้อม ปรับวิถีชีวิต แล้วมันจะเป็นอย่างนี้ ...นั่น ล้มนะ จะล้มได้ง่าย

เคยเล่าให้ฟังแล้ว...มีแม่ชีที่มาหา เคยมาหา แล้วก็ไปภาวนาแบบอุกฤษฏ์ ในวัดในป่าทางอีสานทางไหนไม่รู้ แล้วก็สึกแล้วก็บวชๆ ...นี่ ตายแล้ว ตกตึกตาย เขาว่าพลัดตกตึกตาย หรือว่าโดดตึกตายก็ไม่รู้นะ

เนี่ย ภาวนาไม่แล้วไม่เลิก ตั้งใจสูงมาก สำรวม จบปริญญาโทเมืองนอกนะ ...ตายแล้ว เขาเรียกว่าตายก่อนวัยอันควร เพราะสะสม สึก-บวชๆ

ทั้งที่ว่าขนาดฟังธรรมแล้วนี่ แต่ใจมันติดข้องน่ะ...มันไม่รับ คล้ายๆ กับว่า...เหมือนกับเราแต่ก่อน มองว่ามันไม่เคร่งพอ เหมือนกับมันไม่ใช่รูปแบบของการปฏิบัติอย่างที่มันวาดไว้

พอเข้าไปในสู่จุดนั้นนี่...แล้วไม่ได้ ไม่ดั่งคาด...ก็สึก เอาใหม่อีก ...จนเกิดภาวะที่มันไปไม่ไหวแล้ว มันขัดแย้งในตัวของมันเองมาก มันหาทางออกไม่ได้ ...ถึงว่าเสียดาย เสียดายความเพียร เสียดายความตั้งใจ

แต่ว่ากรรมวิบากมันปิดบัง มันก็ให้เป็นไปอย่างนั้น จนกว่ามันจะก่อเกิดปัญญามองเห็น วิถีแห่งธรรม วิถีแห่งมรรค วิถีแห่งศีลสมาธิปัญญาที่สมดุลและเป็นกลาง ...ไม่ใช่อย่างที่ “เรา” ว่า

ถึงบอกไง “ตัวเรา” นี่สำคัญนะ ...ความคิดของเรา ความเชื่อของเรา ความเห็นของเรา ความอยากของเรา ความปรารถนาของเรา วิถีที่เราวาดๆ ขึ้นมา ...พวกนี้ น่ากลัวนะ

มันเหมือนสร้างวิมาน สร้างความ perfect สมบูรณ์ เป็นพวก perfectionist ...แต่จริงๆ น่ะ ตัวของมันคือ abstract เลอะเทอะ แต่มันเข้าใจว่านั่นน่ะคือความ perfectionist

ช่างฝัน แล้วก็น่าจะเป็นจริง เสมือนจริงอย่างยิ่งยวด ...แต่พอวัน ณ เวลา ณ ถือเวลาปัจจุบันเป็นตัววัด คนละภาคกันเลย จิตก็คนละดวง กิเลสก็คนละตัวกัน ไม่เป็นไปอย่างนั้น

ทีนี้มันจะเกิดความขัดแย้งภายใน ไอ้ที่ว่าจิตเคยดีเคยทรงสภาพได้นี่ มันทรงไม่ได้ จะทรงไม่ได้... แล้วมันจะต่อสู้กับความคิด ดึงดัน แล้วมันจะหาช่องที่จะเสมือนจริง  perfect กว่านั้น

นี่ มันจะเริ่มภาวะที่ว่า เริ่มดันทุรังแล้ว ...พอดันทุรังไป พากายพาจิตไปถึงเวลานั้น...ไม่เป็น ไม่ไป อย่างที่มันวาดไว้ ปรุงไว้ ...ถอยหลังอีก

เนี่ย เขาเรียกว่ายังจับประเด็นไม่เจอ ยังจับหลักไม่เจอ ยังจับจุดของมรรค จุดของศีล จุดของสมาธิคือหยุดอยู่ด้วยรู้ ด้วยเห็น ...มันจับไม่ได้

แต่ “เรา” มันก็คิดไว้แล้วว่า ทำอย่างนี้ๆ เรียกว่าทำเพื่อจะให้มันเกิดความหยุดอยู่แบบสมบูรณ์ที่สุด ...แต่หารู้ไม่ว่าไอ้ที่จะให้มันหยุดอยู่อย่างสมบูรณ์ที่สุด มันก็มาจากความคิด

เนี่ย มันเริ่มเฉแล้ว ...ตราบใดที่มี “เรา” หรือว่าไม่มีมรรคเป็นตัวนำ...ผลนี่คลาดเคลื่อนโดยไม่รู้ตัว หรือแทบไม่รู้ตัว


(ต่อแทร็ก 13/42)